โฮมพลัส จัดเต็มทุกเรื่องบ้าน
043-761599

บทความและคำแนะนำ

รวมบทความและคำแนะนำเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง การตกแต่งบ้าน และการดูแลรักษาบ้าน

แสดงบทความ 1 - 12 จากทั้งหมด 119 บทความ (หน้า 1 จาก 10 หน้า)
เปลี่ยนฤดูทีไร น้ำไม่ไหลอีกแล้ว! รวม 3 จุดต้นเหตุที่เจอบ่อยสุด - ดำรงค์โฮมพลัส

เปลี่ยนฤดูทีไร น้ำไม่ไหลอีกแล้ว! รวม 3 จุดต้นเหตุที่เจอบ่อยสุด

หมวดหมู่: บทความ

น้ำไม่ไหล/แรงดันตก! ครบจบเรื่องน้ำ 3 ปัญหาปั๊ม/ถังเก็บน้ำที่ต้องรู้หากคุณกำลังประสบปัญหาน้ำไม่ไหลหรือแรงดันน้ำตกในบ้าน บทความนี้จะช่วยคุณแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด เพราะปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากในระบบปั๊มน้ำและถังเก็บน้ำของบ้านไทย โดยมีสาเหตุหลัก 3 ประการที่ครอบคลุมเกือบทุกกรณี มาดูรายละเอียดและวิธีแก้ไขแบบละเอียดทีละปัญหากันเลย
ปัญหาที่ 1: ลูกลอยไม่ทำงานและปัญหาระบบเติมน้ำอัตโนมัติ

ลูกลอยถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ควบคุมระดับน้ำในถังเก็บน้ำ หากมีปัญหาจะส่งผลให้น้ำล้นหรือไม่มีน้ำเข้าถังเลย ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาน้ำไม่ไหลตามมา


สาเหตุหลักของปัญหาลูกลอย


ลูกลอยไม่ตั้งฉากกับตัวถังเก็บน้ำ

นี่คือปัญหาแรกที่พบบ่อยที่สุดในถังเก็บน้ำ เมื่อลูกลอยไม่ได้ตั้งฉากกับตัวถัง มันจะไม่สามารถปิด-เปิดวาล์วได้อย่างถูกต้องตามกลไก ส่งผลให้น้ำล้นออกมาเรื่อย ๆ โดยที่ปั๊มไม่หยุดทำงาน หรือในกรณีตรงกันข้าม ลูกลอยอาจปิดวาล์วตลอดเวลาจนไม่มีน้ำเข้าถังเลย


ลูกลอยมีเศษกรวดหินหรือสิ่งสกปรกติด

ปัญหานี้มักเกิดจากการไม่ได้ฝลัดน้ำทิ้งในระบบประปาก่อนติดตั้งถังเก็บน้ำใหม่ เพราะภายในท่อประปามักมีเศษกรวดหิน ทราย และตะกอนต่างๆ ติดค้างอยู่ เมื่อน้ำไหลผ่านมา เศษเหล่านี้จะไปอุดซีลยางหรือตัววาล์วที่ลูกลอย ทำให้การเปิด-ปิดไม่สมบูรณ์


การติดตั้งผิดวิธีหรือผิดตำแหน่ง

เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยมากโดยเฉพาะกับการติดตั้งเอง เพียงแค่ลืมใส่อุปกรณ์เล็กๆ บางตัว หรือต่อท่อผิดรู ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงได้ กรณีที่พบบ่อยที่สุดคือการต่อท่อนำเข้าและน้ำออกผิดรู จนทำให้ระบบทำงานผิดปกติโดยสิ้นเชิง


วิธีแก้ไขปัญหาลูกลอยอย่างละเอียด


แก้ไขปัญหาลูกลอยไม่ตั้งฉาก

ขั้นตอนแรก ให้ปิดบอลวาล์วเพื่อควบคุมน้ำเข้าถังก่อน จากนั้นให้สังเกตตำแหน่งของเรือนวาล์ว แล้วค่อยๆ หมุนเรือนวาล์วให้ตั้งฉากกับตัวถังประมาณ 90 องศาพอดี หลังจากนั้นนำก้านลูกลอยหมุนเข้ากับตัวเรือนวาล์วให้แน่น ทดสอบโดยการเปิดน้ำดูว่าลูกลอยลอยขึ้นลงและปิด-เปิดวาล์วได้ตามปกติหรือไม่


ทำความสะอาดลูกลอยที่มีกรวดหินติด

เริ่มจากปิดบอลวาล์วก่อนทุกครั้ง จากนั้นถอดก้านและเรือนวาล์วออกจากถัง ทำความสะอาดซีลยางและเรือนวาล์วด้วยน้ำสะอาด ขัดเบาๆ เพื่อเอาคราบหินปูนหรือตะกอนออก ตรวจสอบว่าซีลยางยังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ ถ้าชำรุดควรเปลี่ยนใหม่ แล้วจึงประกอบกลับเข้าที่เดิม อย่าลืมขันให้แน่นเพื่อป้องกันการรั่วซึม ​


แก้ไขการติดตั้งผิดรู

ให้ตรวจสอบว่าท่อน้ำเข้าผ่านการควบคุมจากลูกลอยหรือไม่ โดยดูจากตำแหน่งท่อที่เชื่อมกับถัง เคสที่พบบ่อยคือช่างติดตั้งรูน้ำออกเป็นรูน้ำเข้า และใช้รูน้ำทิ้งเป็นรูน้ำออกแทน วิธีแก้คือต้องถอดท่อออกมาต่อใหม่ตามตำแหน่งที่ถูกต้อง โดยดูจากคู่มือการติดตั้งของผู้ผลิตถังเก็บน้ำ


ปัญหาที่ 2: ปั๊มน้ำทำงานแต่น้ำไม่ไหล (Loss of Prime)

นี่คือปัญหาที่น่าหงุดหงิดมากที่สุด เพราะได้ยินเสียงปั๊มดังทำงาน แต่น้ำไม่ขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ปัญหานี้มักเกิดกับปั๊มหอยโข่งเป็นหลัก และมีสาเหตุที่ชัดเจนหลายประการ


สาเหตุของปัญหา Loss of Prime


ไม่มีการล่อน้ำหรือน้ำในระบบแห้งสนิท

นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งที่พบบ่อยที่สุดของปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปั๊มหอยโข่ง (Centrifugal Pump) ที่ติดตั้งแบบดูดน้ำขึ้นจากบ่อหรือถังที่อยู่ต่ำกว่าตัวปั๊ม ต้องเข้าใจก่อนว่าปั๊มหอยโข่งถูกออกแบบมาเพื่อ "ปั๊มของเหลว" ไม่ใช่ "ปั๊มอากาศ" ดังนั้นหากภายในเรือนปั๊มและท่อดูดมีแต่อากาศ ปั๊มจะไม่สามารถสร้างสภาวะสุญญากาศเพื่อดึงน้ำขึ้นมาได้เลย แม้จะเปิดเครื่องทิ้งไว้นานแค่ไหนก็ตาม


มีการรั่วซึมในท่อทางดูด

อย่าประมาทกับรอยรั่วเล็กๆ เพราะรอยรั่วเพียงเล็กน้อยขนาดเท่ารูเข็มในท่อทางดูดก็เพียงพอที่จะทำลายแรงดูดของปั๊มได้อย่างสิ้นเชิง เหตุผลก็คือ แทนที่ปั๊มจะดูดน้ำขึ้นมา มันกลับดูดอากาศจากภายนอกเข้าไปแทน จึงไม่มีแรงดูดเหลือให้กับน้ำเลย ปัญหานี้ยิ่งเห็นชัดในปั๊มที่ต้องดูดน้ำจากระดับต่ำ


การอุดตันในท่อทางดูดหรือฟุตวาล์ว

หากท่อทางดูดมีการติดตั้งฟุตวาล์ว (Foot Valve) หรือหัวกรอง (Strainer) ที่ปลายท่อ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กันทั่วไป อาจมีสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เข้าไปอุดตัน เช่น เศษใบไม้ ตะไคร่น้ำ ถุงพลาสติก โคลน หรือแม้แต่สัตว์น้ำเล็กๆ การอุดตันนี้จะขัดขวางการไหลของน้ำ ทำให้ปั๊มดูดน้ำขึ้นมาไม่ได้


วิธีแก้ไขปัญหา Loss of Prime อย่างมีประสิทธิภาพ


การล่อน้ำเข้าระบบใหม่

วิธีแก้ปัญหานี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา เริ่มจากหยุดการทำงานของปั๊มก่อน จากนั้นค้นหาจุกสำหรับล่อน้ำ (Priming Port) ซึ่งโดยปกติจะอยู่ด้านบนของเรือนปั๊ม ให้เปิดจุกออก แล้วค่อยๆ กรอกน้ำสะอาดลงไปทีละน้อยจนเต็มเรือนปั๊มและท่อดูดโดยสมบูรณ์ อย่าเทเร็วเกินไปเพราะจะทำให้อากาศติดค้างในระบบได้ เมื่อกรอกน้ำเต็มแล้ว ให้ปิดจุกให้แน่นเพื่อป้องกันอากาศรั่วเข้าไป จากนั้นจึงเริ่มเดินเครื่องปั๊มอีกครั้ง

 

ซ่อมแซมรอยรั่วซึมในท่อทางดูด

การแก้ปัญหานี้ต้องใช้ความพิถีพิถัน เริ่มจากตรวจสอบข้อต่อทั้งหมดตลอดเส้นท่อทางดูดอย่างละเอียด ลองขันข้อต่อทั้งหมดให้แน่นขึ้น หากเป็นท่อ PVC ที่มีรอยร้าว อาจต้องทำการตัดส่วนที่ชำรุดออกแล้วต่อใหม่ด้วยข้อต่อและกาว PVC คุณภาพดี สำหรับการซ่อมแบบฉุกเฉินชั่วคราว สามารถใช้เทปพันเกลียวชนิดเข้มข้น หรืออีพ็อกซี่สำหรับงานประปาอุดรอยรั่วไว้ก่อนได้ แต่ควรซ่อมถาวรโดยเร็วที่สุด


ทำความสะอาดและแก้ไขการอุดตัน

ให้ปิดปั๊มและระบบน้ำก่อน จากนั้นถอดฟุตวาล์วหรือหัวกรองที่ปลายท่อดูดขึ้นมา นำมาทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วนเอาสิ่งอุดตันทั้งหมดออกให้หมด ใช้แปรงขัดหากมีตะไคร่น้ำเกาะ และควรตรวจสอบสภาพของลิ้นวาล์วภายในว่ายังเปิด-ปิดได้ปกติหรือไม่ หากลิ้นแข็งหรือชำรุด ควรเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด แล้วจึงติดตั้งกลับเข้าที่เดิม


ปัญหาที่ 3: แรงดันน้ำตกและน้ำไหลเบา

นี่คือปัญหาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันมากที่สุด เพราะจะรู้สึกได้ชัดเจนเวลาอาบน้ำหรือใช้น้ำ น้ำไหลเบาไม่แรงพอ ทำให้ใช้เวลานานขึ้นและอึดอัดใจ


สาเหตุที่ทำให้แรงดันน้ำตก


มีอากาศปนในท่อทางดูด

ปัญหานี้มักเกิดจากการปิดฝาล่อน้ำหรือฝาปิดเช็กวาล์วไม่สนิทพอ รวมถึงการเชื่อมต่อของท่อน้ำที่มีการเดินท่อจากฟุตวาล์วมายังปั๊มน้ำที่ไม่สนิท เมื่อมีอากาศปนเข้ามาในระบบ จะทำให้การไหลของน้ำไม่ต่อเนื่อง สร้างแรงดันได้ไม่เต็มที่ จึงส่งผลให้น้ำที่ออกมามีแรงน้อยลง


ขนาดท่อเล็กกว่าขนาดที่ปั๊มน้ำต้องการ

นี่เป็นข้อผิดพลาดในการเลือกใช้อุปกรณ์ที่พบได้บ่อย เมื่อใช้ท่อที่มีขนาดเล็กกว่าที่ปั๊มออกแบบไว้ น้ำจะไหลผ่านได้ช้าลงเพราะถูกจำกัดด้วยขนาดท่อ ส่งผลให้ปั๊มได้รับปริมาณน้ำน้อยกว่าปกติ จึงส่งออกมาด้วยแรงดันที่ต่ำลง แม้ปั๊มจะทำงานหนักมากขึ้นก็ไม่สามารถชดเชยได้


เศษวัสดุและสิ่งสกปรกในท่อ

เศษวัสดุมีได้หลายแหล่ง ทั้งเศษวัสดุที่ปะปนมากับน้ำธรรมชาติ เช่น ทราย โคลน สนิม และเศษวัสดุจากกระบวนการติดตั้งปั๊มหรือท่อใหม่ เช่น เศษท่อ PVC ที่เกิดจากการตัด เศษกาว PVC ที่หยดลงไปในท่อ หรือเทปพันเกลียวที่หลุดเข้าไป สิ่งเหล่านี้จะไปอุดทางเดินน้ำและลดแรงดันลง


เสื้อปั๊มหรือใบพัดมีการสึกหรอ

ปัญหานี้เกิดจากการใช้งานปั๊มมาในระยะเวลานาน หรือสภาพน้ำที่มีกรวดทราย คราบหินปูน หรือความกระด้างสูง ซึ่งจะกัดกร่อนและทำให้ใบพัดและเสื้อปั๊มสึกหรอไปเรื่อยๆ ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างใบพัดกับเสื้อปั๊มมากกว่าปกติ ทำให้ประสิทธิภาพในการสร้างแรงดันลดลง


แมคซีล (Mechanical Seal) รั่วซึม

เมื่อแมคซีลซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ป้องกันน้ำไม่ให้รั่วออกจากตัวปั๊มเกิดการชำรุด จะมีน้ำรั่วซึมบริเวณใต้ปั๊มน้ำอัตโนมัติหรือบริเวณแกนเพลา การรั่วนี้ไม่เพียงแค่ทำให้เสียน้ำ แต่ยังส่งผลให้ความแรงของน้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะแรงดันบางส่วนถูกปล่อยออกไปทางรอยรั่ว


วิธีแก้ไขปัญหาแรงดันน้ำตกอย่างครอบคลุม


แก้ไขปัญหาอากาศปนในระบบ

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฝาปิดทุกจุดและการต่อท่อต่างๆ มีการเชื่อมต่อแนบสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลองขันหมุนให้แน่นขึ้นอีกรอบ หากพบว่ายางรองฝาชำรุดหรือแข็ง ควรเปลี่ยนใหม่ สำหรับข้อต่อท่อที่สงสัยว่ารั่ว ให้ทากาวใหม่หรือใช้เทฟล่อนเทปพันเกลียวเพิ่มเติมเพื่อป้องกันอากาศรั่ว


ปรับขนาดท่อให้เหมาะสม

ดูจากคู่มือปั๊มน้ำว่าแนะนำให้ใช้ท่อขนาดเท่าไร หากปั๊มระบุว่าต้องการท่อขนาด 1 นิ้ว ควรเลือกใช้ท่อขนาด 1 นิ้ว หรือ 1 ½ นิ้ว อย่าใช้เล็กกว่า หากติดตั้งผิดไปแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนท่อใหม่ทั้งระบบหรืออย่างน้อยก็เส้นหลักที่สำคัญ เพราะจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้มาก


ทำความสะอาดเศษวัสดุในท่อและระบบ

หากพบว่ามีเศษวัสดุต่างๆ เข้าไปอุดตันในท่อหรือภายในตัวปั๊ม ให้รีบแกะปั๊มน้ำออกมาทำความสะอาดอย่างละเอียด ถอดเสื้อปั๊มและใบพัดออกมาล้างด้วยน้ำสะอาด ขัดเอาตะกอนและเศษวัสดุออกให้หมด ตรวจสอบภายในเรือนปั๊มและทางเดินน้ำทุกจุด แล้วประกอบกลับอย่างถูกวิธี


เปลี่ยนใบพัดและเสื้อปั๊มที่สึกหรอ

หากตรวจสอบแล้วพบว่าเสื้อปั๊มหรือใบพัดเกิดการสึกหรอมาก เห็นได้จากร่องรอยกัดกร่อน มีรอยบุบหรือโค้งงอ หรือวัดระยะห่างระหว่างใบพัดกับเสื้อปั๊มแล้วพบว่ามากเกินไป ควรรีบเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่เพื่อให้ปั๊มน้ำทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้ชิ้นส่วนแท้หรือมาตรฐานเดียวกันกับของเดิม


เปลี่ยนแมคซีลที่รั่วซึม

หากสังเกตเห็นน้ำรั่วซึมบริเวณใต้ปั๊มหรือแกนเพลา แสดงว่าแมคซีลมีปัญหาแน่นอน ควรรีบทำการเปลี่ยนชิ้นส่วนดังกล่าวใหม่โดยเร็ว เพราะนอกจากจะทำให้แรงดันตกแล้ว ยังอาจทำให้มอเตอร์เสียได้หากน้ำซึมเข้าไปในส่วนไฟฟ้า การเปลี่ยนแมคซีลควรให้ช่างผู้ชำนาญทำเพราะต้องมีความแม่นยำ


ทำความสะอาดปลายก๊อกน้ำและจุดใช้งาน

ตรวจสอบและทำความสะอาดปลายก๊อกน้ำทุกจุดให้เรียบร้อย หากพบว่ามีการอุดตันจากคราบหินปูน ตะกอน หรือเศษวัสดุจากการติดตั้ง ให้ถอดตัวกรองออกมาล้างทำความสะอาด แช่น้ำยาขจัดคราบหินปูนถ้าจำเป็น จากนั้นจึงเปิดก๊อกน้ำรันปั๊มใหม่เพื่อดูผล


การป้องกันปัญหาปั๊มน้ำและถังเก็บน้ำล่วงหน้า

นอกจากการแก้ปัญหาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว การป้องกันก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในระยะยาว


ตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำ

การบำรุงรักษาเชิงป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรหมั่นเช็คและสังเกตท่อน้ำภายในบ้านอย่างสม่ำเสมอว่ามีการรั่วไหลหรือไม่ ตรวจสอบเครื่องสุขภัณฑ์ทั้งหมดว่ามีน้ำหยดหรือเปิดทิ้งไว้หรือไม่ เพราะปัญหาเล็กๆ เหล่านี้จะส่งผลให้ปั๊มทำงานหนักเกินความจำเป็น และอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ตามมา แนะนำให้ทำการตรวจสอบอย่างน้อยเดือนละครั้ง


ใช้งานอย่างถูกวิธีและสมควร

อย่าใช้งานปั๊มเป็นระยะเวลานานเกินไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้ความร้อนสะสมในมอเตอร์จนอาจทำให้คอยล์ไหม้หรือชิ้นส่วนภายในเสียหายได้ ควรมีช่วงพักให้กับปั๊มบ้าง หากต้องใช้น้ำมากๆ หรือต่อเนื่อง ควรพิจารณาใช้ปั๊มขนาดใหญ่ขึ้นหรือเพิ่มถังกักเก็บเพื่อลดภาระของปั๊ม


ติดตั้งให้ถูกต้องตามมาตรฐาน

ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการติดตั้งปั๊มและถังเก็บน้ำเป็นไปตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด อ่านคู่มือให้ละเอียดและทำตามทุกขั้นตอน หรือจ้างช่างผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองมาติดตั้งให้ การติดตั้งที่ถูกต้องจะช่วยลดปัญหาในอนาคตได้มาก สัญญาณเตือนที่บอกว่ามีปัญหาคือ มอเตอร์ปั๊มมีเสียงดังผิดจากปกติ มีเสียงดังผิดจังหวะ หรือไม่เป็นเจอ ถ้าเจอแบบนี้ควรตรวจสอบทันที


ติดตั้งระบบป้องกันไฟฟ้า

ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก (Surge Protector) และไฟดับกระทันหัน (UPS หรือ Voltage Stabilizer) เพื่อป้องกันแผงวงจรไฟฟ้าภายในปั๊มจากความเสียหาย เพราะระบบไฟฟ้าในบ้านมักมีความผันผวนของแรงดันไฟ การติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ช่วยยืดอายุปั๊มได้อย่างมาก


ใช้น้ำสะอาดและติดตั้งตัวกรอง

หากแหล่งน้ำของคุณมีตะกอนหรือสิ่งสกปรกปะปนมาก ควรพิจารณาติดตั้งตัวกรองหยาบก่อนเข้าปั๊ม เพื่อดักเศษวัสดุต่างๆ ไม่ให้เข้าไปทำลายใบพัดหรืออุดตันในระบบ ตัวกรองช่วยยืดอายุการใช้งานของปั๊มได้อย่างมีนัยสำคัญ


สรุป: แก้ปัญหาน้ำไม่ไหลและแรงดันตกได้ด้วยตัวเอง

ด้วยความเข้าใจในสาเหตุและวิธีแก้ไขปัญหาทั้ง 3 ประเภทหลักที่กล่าวมาข้างต้น คุณจะสามารถวินิจฉัยและจัดการกับปัญหาน้ำไม่ไหลและแรงดันน้ำตกได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องรอช่างหรือเสียค่าใช้จ่ายสูงในการซ่อมแซมทุกครั้ง


จำไว้ว่า การบำรุงรักษาเชิงป้องกันและการตรวจสอบเป็นประจำเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านี้ในอนาคต การลงทุนเวลาเพียงเล็กน้อยในการดูแลระบบน้ำของบ้านจะช่วยให้คุณมีน้ำใช้อย่างเพียงพอและมีแรงดันที่เหมาะสมตลอดเวลา


หากพบว่าปัญหาซับซ้อนเกินกว่าที่จะแก้ไขเอง หรือหลังจากลองทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ควรปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือบริษัทผู้ผลิตปั๊มโดยตรง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและแก้ไขอย่างถูกต้อง อย่าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป เพราะจะทำให้ปัญหาขยายใหญ่ขึ้นและมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูงขึ้นตามไปด้วย


สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์ระบบน้ำได้ที่: ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

เว็บไซต์: www.drhome.plus

เฟสบุ๊ค : facebook.com/damronghomeplus

LINE: https://lin.ee/owsFVCn

โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.

อ่านเพิ่มเติม
เลือก "ถังเก็บน้ำ" ขนาดที่ใช่ ไม่ต้องเสี่ยงน้ำหมด!  - ดำรงค์โฮมพลัส

เลือก "ถังเก็บน้ำ" ขนาดที่ใช่ ไม่ต้องเสี่ยงน้ำหมด!

หมวดหมู่: บทความ

💧 น้ำหมดกลางคันไม่ใช่เรื่องตลก! สูตรเลือก "ถังเก็บน้ำ" ขนาดที่ใช่ สำรองน้ำได้ 2 วันเต็ม ไม่มีสะดุด
 เปิดสถานการณ์: ทำไม "ถังเก็บน้ำ" ถึงสำคัญกว่าที่คิดในระบบน้ำบ้านเรา?


พี่ๆ เคยเจอปัญหาไหมครับ? กำลังอาบน้ำอยู่ดีๆ หรือกำลังล้างจาน จู่ๆ น้ำประปาก็ไหลอ่อนลงจนน่าตกใจ หรือบางครั้งถึงขั้นหยุดไหลไปเลย เพราะท่อแตก หรือการประปามีซ่อมบำรุงในพื้นที่

หลายคนคิดว่า ถังเก็บน้ำ มีไว้แค่ "สำรอง" ตอนฉุกเฉินเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วมันคือ "หัวใจ" ที่ช่วยให้ระบบน้ำในบ้านเรานิ่งและเสถียรครับ


• ป้องกันปั๊มพัง: ถ้าเราต่อปั๊มน้ำดูดตรงจากท่อประปา ปั๊มอาจจะดูดเอาอากาศเข้าไปในระบบได้ง่ายๆ (แถมผิดระเบียบการประปาด้วยนะ) การมีถังเก็บน้ำที่ดีจะช่วยให้ปั๊มน้ำดูดน้ำจากถังอย่างนุ่มนวล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานปั๊มได้อีกนาน


• แรงดันน้ำคงที่: ถังเก็บน้ำทำหน้าที่เป็นแหล่งพักน้ำที่ให้ปั๊มดึงไปใช้ได้ตลอดเวลา ทำให้แรงดันน้ำที่ส่งไปตามก๊อกต่างๆ ในบ้านสม่ำเสมอ ไม่วูบวาบ นี่คือ "บริการ" ขั้นพื้นฐานที่เราต้องลงทุนให้ตัวเองครับ


1. "คนในบ้านกี่คน ต้องใช้ถังขนาดเท่าไหร่?" สูตรคำนวณที่แม่นยำที่สุด


คำถามคลาสสิกที่ถามกันบ่อยที่สุดคือ "ถัง 1,000 ลิตร พอไหม?" คำตอบที่ชัวร์ที่สุดคือต้องคำนวณตามจำนวนคนครับ!


 1.1. มาตรฐานการใช้น้ำของคนไทย: เผื่อเหลือ เผื่อขาด

มาตรฐานทั่วไปที่ผู้เชี่ยวชาญกำหนดไว้คือ 200 ลิตรต่อคนต่อวัน แต่สำหรับครอบครัวในยุคนี้ ที่มีเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ มีการทำกิจกรรมที่ใช้น้ำเยอะ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ดำรงค์โฮมพลัสแนะนำให้คุณ "เผื่อเหลือเผื่อขาด" ครับ

• คำนวณแบบปลอดภัย: ใช้ตัวเลข 250 ลิตรต่อคนต่อวัน ไปเลยครับ จะได้สบายใจ ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าน้ำจะหมดถังไหม


1.2. หลักการสำรอง 2 วัน: ความมั่นคงที่แท้จริง (Optimal Safety)

ถ้าเกิดท่อประปาแตกกลางหมู่บ้าน การซ่อมแซมอาจกินเวลานาน 1-2 วันเต็มๆ ถ้าเราสำรองน้ำไว้แค่วันเดียวอาจจะไม่พอใช้ทำกิจกรรมต่างๆ

ดังนั้น หลักการที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมคือการสำรองน้ำไว้ใช้ 2 วันเต็ม (48 ชั่วโมง) นี่คือการบริหารความเสี่ยงที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าของบ้านครับ


ขนาดถัง (ลิตร) = จำนวนผู้อยู่อาศัย (คน) × 250 ลิตร/คน/วัน × 2 วัน



เคล็ดลับจากช่างดำรงค์โฮมพลัส: เมื่อคำนวณได้ตัวเลขแล้ว ให้ เลือกถังขนาดที่ใหญ่กว่าตัวเลขนั้นเสมอ เช่น คำนวณได้ 1,500 ลิตร ให้เลือกถัง 2,000 ลิตร ไปเลยครับ เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับความไม่แน่นอน


2: "น้ำบาดาล" ในโคกสุม? วัสดุถังต้องทนทานและไม่เป็นสนิม


สำหรับพื้นที่ที่มีการใช้น้ำบาดาล หรือน้ำผิวดิน การเลือกวัสดุถังยิ่งสำคัญเป็นสองเท่าครับ


2.1. ทำไม "โพลิเมอร์ (PE)" จึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับแหล่งน้ำธรรมชาติ

• ข้อจำกัดของสแตนเลส: ถ้าเราบรรจุ น้ำบาดาล หรือ น้ำกร่อย ที่มีเกลือและคลอไรด์สูง มันจะกัดกร่อนถังเก็บน้ำสแตนเลส (โดยเฉพาะรอยเชื่อม) จนเกิดสนิมและผุพังในที่สุด

• ความทนทานของ PE: ถังเก็บน้ำที่ทำจาก โพลิเมอร์ (PE) คุณภาพสูง (Food Grade) จะทนต่อการกัดกร่อนจากสารเคมีในน้ำได้ดีกว่ามาก และไม่เป็นสนิมอย่างแน่นอน


ข้อสำคัญที่ต้องดู: ไม่ว่าจะเป็นถัง PE ยี่ห้อไหนก็ตาม ต้องมั่นใจว่าถังนั้นเป็น "ถังทึบแสง 100%" เพื่อป้องกันแสงแดดส่องถึงน้ำในถัง และไม่ให้เกิดตะไคร่น้ำมากวนใจเราครับ


2.2. มองหา "ก้นถังนูน": การออกแบบที่คำนึงถึงการทำความสะอาด


เวลาที่ต้องทำความสะอาดถังเก็บน้ำ ถังที่ดีควรมี ก้นถังที่นูน ขึ้นเล็กน้อย เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถชำระล้างตะกอนที่ตกลงไปก้นถังออกได้ง่ายกว่าแบบก้นเรียบ การออกแบบเล็กๆ น้อยๆ นี้คือ "คุณค่า" ที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้นครับ


3: ระบบต้องดี ปั๊มน้ำกับถังเก็บน้ำต้องทำงานคู่กัน


อย่าลืมว่า ถังเก็บน้ำจะทำงานได้สมบูรณ์ต้องมีปั๊มน้ำที่ "เหมาะสม" มาช่วยส่งน้ำต่อด้วยครับ

• ลำดับการต่อ: น้ำเข้าถัง -> ปั๊มดูดจากถัง -> ส่งเข้าบ้าน (ย้ำอีกครั้ง ห้ามให้ปั๊มดูดตรงจากท่อประปา)

• เลือกกำลังวัตต์ปั๊ม: เลือกขนาดปั๊มให้เหมาะกับจำนวนชั้นของบ้าน อย่าเลือกปั๊มที่แรงเกินความจำเป็น เพราะนอกจากจะกินไฟแล้ว ยังทำให้แรงดันน้ำมากระชากระบบท่อในบ้าน จนอาจเกิดการรั่วซึมได้ง่ายขึ้นด้วยครับ




สรุป: เช็คลิสต์ 4 ข้อ ก่อนตัดสินใจซื้อถังเก็บน้ำ


การเลือก ถังเก็บน้ำ ที่ดำรงค์โฮมพลัส ไม่ใช่แค่การขายของ แต่คือการขาย ความสะดวกสบาย และ ความเชื่อมั่น ในระบบน้ำที่บ้านของลูกค้าครับ


1. นับคน: คำนวณขนาดโดยใช้ 250 ลิตร/คน และสำรองไว้ 2 วันเต็ม

2. เลือกไซส์ใหญ่กว่า: เมื่อได้ตัวเลขแล้ว ให้เลือกขนาดถังที่ใหญ่กว่าที่คำนวณได้เสมอ

3. เช็คน้ำ: ถ้าใช้ น้ำบาดาล/น้ำกร่อย ให้เลือกถัง โพลิเมอร์ (PE) เกรดดี ที่ทึบแสง 100% เพื่อป้องกันสนิมและตะไคร่

4. จับคู่ปั๊ม: เลือกกำลังวัตต์ของปั๊มที่เหมาะสมกับจำนวนชั้นของบ้าน เพื่อให้แรงดันน้ำเสถียร ไม่เปลืองไฟ และไม่ทำให้ท่อในบ้านพังก่อนเวลาอันควร


มาคุยกันได้ที่ดำรงค์โฮมพลัสเลยครับ! เรามีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมคำนวณขนาดและแนะนำรุ่นถังเก็บน้ำที่เหมาะสมกับพื้นที่โกสุมพิสัยและมหาสารคามให้คุณโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณได้ระบบน้ำที่มั่นคง ใช้งานได้ยาวนาน และคุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์ครับ



สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์ระบบน้ำได้ที่: ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

เว็บไซต์: www.drhome.plus

เฟสบุ๊ค : facebook.com/damronghomeplus

LINE: https://lin.ee/owsFVCn

โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.

อ่านเพิ่มเติม
ประเภทของประแจ - ดำรงค์โฮมพลัส

ประเภทของประแจ

หมวดหมู่: บทความ

ประแจคืออะไร?


ประแจคือเครื่องมือสำหรับจับ–ขัน–คลายน็อต/โบลต์และอุปกรณ์ยึดต่าง ๆ ให้แน่นพอดี ช่วยถ่ายแรงบิด (Torque) ได้ปลอดภัยและแม่นยำ วัสดุที่นิยมคือเหล็กกล้าโครม-วานาเดียม (CR-V) ที่แข็งแรง ทนสึก และกันสนิม เคลือบผิวโครม/ซาตินเพื่อทำความสะอาดง่าย เหมาะทั้งงานติดตั้งในบ้าน งานซ่อมบำรุง และงานช่างมืออาชีพ


1. ประแจปากตาย (Open-End Wrench)

ปลายทั้งสองด้านเป็นรูปตัว U คนละไซซ์ เหมาะงานที่ต้องสอดเข้าพื้นที่แคบ หมุนได้รวดเร็ว แต่หน้าสัมผัสรับแรง 2 ด้าน จึงควรใช้กับงานที่ไม่ต้องออกแรงมาก



2. ประแจแหวน (Box-End Wrench)

หัววงแหวนครอบหัวน็อตเต็มเหลี่ยม รับแรงได้ดีมาก เหมาะขัน/คลายที่ต้องใช้แรงสูง ลดโอกาสบาดหน้าเหลี่ยม


3. ประแจแหวนข้างปากตาย (Combination Wrench)

ด้านหนึ่งแหวน อีกด้านปากตาย ไซซ์เดียวกันทั้งสองด้าน เป็นตัว “ครอบจักรวาล” สำหรับช่างและงานบ้าน


4. ประแจด้ามสั้น (Stubby Wrench)

รุ่นสั้นกว่าปกติ ใช้ในพื้นที่อับ/ใต้อุปกรณ์ มีทั้งแบบปากตาย–แหวน หรือแบบปรับได้ (ช่วยเข้าพื้นที่ได้ แต่แรงงัดน้อยกว่า)


5. ประแจค้อน (Hammer Wrench / Striking Wrench)

ตัวสั้น หนา หนัก ใช้กับค้อนทุบที่หูประแจเพื่อส่งแรงบิดสูง มักเจองานอุตสาหกรรม หน้าจาน/หน้าแปลน หรือสลักเกลียวขนาดใหญ่


6. ประแจเลื่อน (Adjustable Wrench / ประแจวงเดือน)

ปรับปากได้ด้วยสกรูในตัว หนึ่งอันใช้แทนน็อตหลายไซซ์ เหมาะพกติดกล่องเครื่องมือ (ควรตั้งปากให้ฟิต และออกแรงด้านคอประแจเพื่อลดสึก)

7. ประแจหกเหลี่ยม/แอล (Hex/Allen Key)

แท่งหกเหลี่ยมรูปตัว L สำหรับสกรูหัวหลุมหกเหลี่ยม มีทั้งชุดสั้น–ยาว–บอลเอ็น

8. ประแจหัวทอร์กซ์ (Torx Key)

หน้าตาคล้ายอัลเลน แต่หัวเป็นดาว Torx ใช้กับสกรู Torx ที่กันลื่นได้ดี

9. ประแจถอดล้อนรถ (Lug Wrench/Cross Wrench)

แบบกากบาท ปลาย 4 ด้านคนละไซซ์ ใช้กับน็อตล้อรถยนต์ ให้แรงงัดดี

10. ประแจถอดกรองน้ำมันเครื่อง (Oil Filter Wrench)

ชนิดสายรัด/โซ่/ฝาครอบ ใช้จับและคลายกรองน้ำมันเครื่องได้สะดวก

11. ประแจท่อ (Pipe Wrench / ประแจคอม้า)

ขากรรไกรมีฟัน กัดกับท่อ/ชิ้นงานกลม ปรับขนาดได้ เหมาะงานประปา ไม่ควร ใช้กับหัวน็อตเหลี่ยม (จะทำให้บาดหัวน็อต)

12. ประแจแหวนฟรี (Ratcheting Wrench)

แหวนเป็นวงล้อ ไม่ต้องยกออกทุกจังหวะ หมุนต่อเนื่องได้ เลือกจำนวนฟัน 72/90 ฟันเพื่อมุมปัดน้อย ทำงานไวในที่แคบ

13. ประแจปอนด์ (Torque Wrench)

ตั้งค่าแรงบิดตามสเปกผู้ผลิตชิ้นงาน ป้องกันขันแน่น/หลวมเกินไป มีทั้งแบบคลิก/แบบสเกล/ดิจิทัล

14. คีมคอม้า (Water Pump Pliers / Pliers Wrench)

แม้จะเป็น “คีม” ไม่ใช่ประแจ แต่ถูกหยิบใช้แทนบ่อย ปรับระยะได้หลายตำแหน่ง จับงานรูปทรงต่าง ๆ ได้ดี (หลีกเลี่ยงการกัดหัวน็อตตกแต่ง)


สอบถาม/สั่งซื้อได้ที่:

ดำรงค์โฮมพลัส (โกสุมพิสัย มหาสารคาม)

เว็บไซต์: www.drhome.plus | Facebook: damronghomeplus

LINE: https://lin.ee/owsFVCn | โทร: 043-761-599, 043-761-855

เปิดทุกวัน 08:00–17:00 น.


อ่านเพิ่มเติม
ปรับท่านั่งทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์  และการเลือก เก้าอี้ออฟฟิศ ที่เหมาะสม - ดำรงค์โฮมพลัส

ปรับท่านั่งทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์ และการเลือก เก้าอี้ออฟฟิศ ที่เหมาะสม

หมวดหมู่: บทความ

บอกลาอาการปวดหลังเรื้อรัง: คู่มือปรับท่านั่งทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) และการเลือกเก้าอี้ออฟฟิศที่เหมาะสม
เมื่อ "การนั่ง" กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพที่น่ากลัว


ในยุคดิจิทัลที่ชีวิตการทำงานผูกติดกับหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างแยกไม่ออก อาการปวดหลัง ปวดคอ และปวดไหล่ ได้กลายเป็นความท้าทายด้านสุขภาพอันดับต้นๆ ของคนวัยทำงาน และมักถูกจัดอยู่ในกลุ่มอาการที่เรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม ซึ่งสาเหตุหลักของปัญหานี้หนีไม่พ้น ท่านั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง เป็นเวลานาน


ข้อมูลทางกายวิภาคชี้ให้เห็นว่า การนั่งทำงานต่อเนื่องทำให้ร่างกายใช้กล้ามเนื้อและส่งผลให้มีแรงกด (load) ไปลงที่กระดูกสันหลังสูงกว่าท่ายืน เพราะเมื่อเรานั่งนาน ฐานในการรับน้ำหนักตัวจะลดลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักเกินกว่าปกติเพื่อพยุงลำตัว ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางการนั่งที่ไม่เหมาะสม เช่น การโน้มตัวไปข้างหน้าจนหลังงอ หรือการแอ่นหลังมากเกินไป ยังเป็นการเพิ่มแรงกดโดยตรงต่อหมอนรองกระดูกสันหลังส่วนล่าง (Lumbar Spine) ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนได้


หากเรายังคงละเลยอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเป็นเรื้อรัง ความเสื่อมของกระดูกและเส้นเอ็นอาจขยายตัว นำไปสู่ภาวะร้ายแรง เช่น โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal Stenosis) ซึ่งเบียดหรือกดทับเส้นประสาท ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขอย่างยั่งยืนจึงต้องอาศัย การยศาสตร์ (Ergonomics) หรือวิทยาการทำงานที่ออกแบบสภาพแวดล้อมให้เข้ากับสรีระของเรา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกระดูกในระยะยาว


3 เสาหลักของการนั่งทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์


ท่านั่งทำงานที่ถูกหลักการยศาสตร์ คือการจัดสรีระร่างกายให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม เพื่อรักษาแนวโค้งตามธรรมชาติของกระดูกสันหลัง (Neutral Posture) การปรับท่าทางที่เหมาะสมจะส่งผลดีต่อทุกส่วนของร่างกาย ดังนี้:


1. การรองรับลำตัวและกระดูกสันหลัง (แกนกลางที่สำคัญที่สุด)


แกนหลักของท่านั่งที่ถูกต้องคือการจัดแนวหลังส่วนล่าง คุณควรพิงหลังกับพนักเก้าอี้ให้เต็มที่ ไม่ควรโน้มตัวไปข้างหน้าจนหลังงอ หรือแอ่นหลังมากเกินไป เพราะการนั่งตัวตรง หลังไม่ค่อม ไหล่ไม่ห่อ และคอตรง จะช่วยให้การกระจายน้ำหนักเป็นไปอย่างสมดุล


เพื่อให้นั่งได้สบายและถูกหลักการยศาสตร์ เก้าอี้ที่ดีจึงต้องมีอุปกรณ์รองรับหลังส่วนล่าง (Lumbar Support) ที่ปรับระดับให้โค้งรับกับความเว้าของหลังอย่างสมดุลที่สุด การรองรับที่เหมาะสมนี้จะช่วยลดแรงกดที่สะสมบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2. ตำแหน่งของไหล่ แขน และศีรษะ


ปัญหาปวดคอ ปวดบ่า และปวดไหล่ มักเกิดจากการเกร็งไหล่เป็นเวลานาน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ คุณต้องผ่อนคลายไหล่ ไม่ยกหรือห่อเข้าหากัน ในขณะเดียวกัน ข้อศอกควรตั้งฉากที่ 90 องศา โดยที่แขนท่อนล่างวางขนานกับโต๊ะเมื่อใช้เมาส์และคีย์บอร์ด ตำแหน่งนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อไหล่ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์


สำหรับศีรษะและคอ ควรตั้งตรงโดยรักษาแนวสายตาให้ขนานกับพื้นให้มากที่สุด ซึ่งทำได้โดยการปรับระดับจอภาพให้ขอบบนของจออยู่ในระดับสายตา เพื่อป้องกันการก้มคอ (Forward Head Posture) ซึ่งเพิ่มภาระน้ำหนักของศีรษะต่อกระดูกสันหลังส่วนคออย่างมาก


3. การวางขาและเท้าที่เป็นฐานมั่นคง

ระดับความสูงของเก้าอี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณควรปรับเก้าอี้ให้หัวเข่าอยู่ในระดับเดียวกับข้อสะโพก หรือต่ำกว่าเล็กน้อย การรักษาระดับนี้จะช่วยกระจายการรับน้ำหนักผ่านกระดูกเชิงกรานและกระดูกก้นกบอย่างเหมาะสม


นอกจากนี้ ข้อเท้าควรวางราบกับพื้นในระดับ 90 องศา หากความสูงของเก้าอี้ทำให้เท้าลอย คุณไม่ควรปล่อยให้เท้าแขวนลอย แต่ควรใช้ที่รองเท้า (Footrest) มารองรับ เพื่อป้องกันการตึงตัวของกล้ามเนื้อน่องและข้อเท้า


การเลือกและการตั้งค่าอุปกรณ์: ลงทุนใน "เก้าอี้ออฟฟิศ" ที่เหมาะสม


ท่านั่งที่ถูกหลักการยศาสตร์ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากขาดอุปกรณ์ที่สามารถปรับให้เข้ากับสรีระของผู้ใช้งานแต่ละคนได้ ดังนั้น การเลือกเก้าอี้สุขภาพที่ดีจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า


คุณสมบัติของเก้าอี้ Ergonomics ที่ดี:


1. พนักรองหลังส่วนล่าง (Lumbar Support): นี่คือหัวใจสำคัญของเก้าอี้สุขภาพ โดยควรปรับระดับความสูงได้อย่างอิสระ เพื่อให้ตรงกับส่วนเว้าของหลังส่วนล่างของผู้ใช้งานแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ

2. ที่พักแขนปรับระดับได้ (3D Armrest): ที่พักแขนที่ดีควรสามารถปรับความสูง, องศาเข้า-ออก, และเลื่อนหน้า-หลังได้ หน้าที่ของมันคือการรองรับแขนท่อนล่างจนถึงข้อศอกให้อยู่ในระนาบเดียวกับโต๊ะ เพื่อผ่อนคลายไหล่

3. ความลึกของเบาะ (Seat Depth): เบาะควรสามารถเลื่อนสไลด์ (Seat Pan Slide) เพื่อปรับความลึกให้เหมาะสมกับความยาวของต้นขา การปรับที่เหมาะสมจะช่วยให้มีช่องว่างเล็กน้อยระหว่างขอบเบาะกับด้านหลังเข่า เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดต่อการไหลเวียนของเลือดที่ขา

4. พนักพิงรองคอ (Adjustable Headrest): ต้องปรับระดับความสูงและองศาได้ เพื่อช่วยพยุงและรักษาแนวศีรษะให้ตั้งตรงที่สุด


นอกจากเก้าอี้แล้ว การจัดโต๊ะทำงาน ก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรวางเมาส์และคีย์บอร์ดใน โซนที่ 1 (Primary Zone) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องยกข้อศอก และสำหรับผู้ที่ใช้แล็ปท็อป (Laptop) ควรใช้แท่นวางเพื่อยกระดับหน้าจอให้อยู่ในระดับสายตา และต่อคีย์บอร์ดและเมาส์ภายนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการก้มคอที่ทำให้ปวดหลังส่วนบน


การเคลื่อนไหวคือยาอายุวัฒน์


แม้ว่าเราจะปรับสภาพแวดล้อม (Passive Ergonomics) ได้ดีเพียงใด แต่การนั่งอยู่ในท่าเดิมนานเกินไปก็ยังคงเป็นข้อผิดพลาดที่ไม่ควรมองข้าม เราจึงต้องเสริมด้วย การยศาสตร์เชิงรุก (Active Ergonomics) คือการบริหารจัดการพฤติกรรมการเคลื่อนไหว


วินัยการเคลื่อนไหวและการหยุดพัก


หลักการปฏิบัติที่แนะนำคือ กฎ 50/10 คือการไม่นั่งทำงานต่อเนื่องเกิน 50 นาที และควรหยุดพักเพื่อผ่อนคลายร่างกายและสมองเป็นเวลา 10–15 นาที การหยุดพักนี้ควรรวมถึงการลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เดิน หรือเปลี่ยนอริยาบถ

นอกจากนี้ อย่าลืมใช้ กฎ 20-20-20 เพื่อพักสายตา: ทุก 20 นาที ให้มองวัตถุที่ห่างออกไป 20 ฟุตเป็นเวลา 20 วินาที เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าทางสายตาจากการจ้องจอ


การบริหารร่างกายและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ


การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เช่น กล้ามเนื้อก้มคอชั้นลึก และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยให้เราสามารถรักษาท่าทางที่ถูกต้องไว้ได้นานขึ้นและเพิ่มความทนทานต่อการทำงานต่อเนื่อง


การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching) เป็นประจำก่อน ระหว่าง และหลังการทำงานในแต่ละวัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เช่น ท่ายืดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างโดยการนอนราบบนเสื่อ งอเข่าแล้วใช้มือกอดใต้เข่าดึงเข่าเข้าหาอก หรือท่ายืดกล้ามเนื้อแขนท่อนล่างโดยการเหยียดแขนไปด้านหน้าแล้วกดฝ่ามือลงเพื่อคลายความตึง


อาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งเก้าอี้ออฟฟิศเป็นภาวะที่สามารถจัดการและป้องกันได้ผ่านการบูรณาการหลักการยศาสตร์อย่างรอบด้าน โดยมีกุญแจสำคัญคือการปรับสภาพแวดล้อม (เก้าอี้และโต๊ะ) ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยในการลุกขึ้นพักและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง


อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดหลังเป็นต่อเนื่องเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ หรือมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น หรือมีอาการน่ากังวลร่วมด้วย เช่น ปวดร้าว ชา หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นที่แขนหรือขา ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง คุณไม่ควรนิ่งนอนใจ และควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกสันหลัง หรือแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อเข้ารับการตรวจประเมิน วินิจฉัย และกำหนดแผนการรักษาหรือกายภาพบำบัด ก่อนที่อาการจะทวีความรุนแรงขึ้น


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.



อ่านเพิ่มเติม
โต๊ะหมู่บูชา ศิลปะแห่งศรัทธา บูชาอย่างไรให้เสริมโชคลาภ - ดำรงค์โฮมพลัส

โต๊ะหมู่บูชา ศิลปะแห่งศรัทธา บูชาอย่างไรให้เสริมโชคลาภ

หมวดหมู่: บทความ

แสงเช้าเล็มผ่านริมผ้าม่าน กลิ่นดอกไม้สดที่เพิ่งเปลี่ยนยังฉ่ำอยู่บนพาน เสียงไม้ขีดเสียดกับก้านก่อไฟค่อย ๆ ดังขึ้น ก่อนที่เปลวเทียนเล็กจะตั้งสว่าง นี่คือพิธีกรรมสั้น ๆ ที่หลายบ้านทำเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับใครอีกหลายคน มุมเล็ก ๆ ตรงนี้คือหัวใจของบ้าน — โต๊ะหมู่บูชา ไม่ได้เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ หากคือที่ตั้งของใจและความหมายของคำว่า “อยู่ร่วมกันอย่างสงบ”


ในวัฒนธรรมไทย โต๊ะหมู่บูชา (Toh Moo Bucha) เปรียบเหมือนเสาหลักที่ค้ำจุนทั้งศรัทธาและความเรียบร้อยของบ้าน การจัดวางจึงไม่ใช่แค่สวยหรือไม่สวย แต่เป็น ศิลปะของพิธี ที่ผสานทั้งความเข้าใจเรื่องลำดับชั้นทางจิตวิญญาณกับสามัญสำนึกเรื่องพื้นที่อยู่อาศัย เราไม่ได้จัดเพราะกลัวสิ่งไม่ดี หากจัดเพราะอยากให้ทุกเช้าเราได้เห็น “ระเบียบของใจ” ก่อนออกไปพบความวุ่นวายข้างนอก


หัวใจของการจัดโต๊ะหมู่คือ “ลำดับ” องค์พระประธานควรอยู่ตำแหน่งสูงสุดและเป็นศูนย์กลาง เหตุผลไม่ใช่เพียงความเคารพ แต่เป็นการให้สัญญะกับสายตาและจิตใจว่า สิ่งนี้คือหลักให้เราเทียบริมใจในทุกวัน ถัดลงมาจึงเป็นพระอรหันต์หรืออัครสาวก แล้วจึงตามด้วยรูปเหมือนพระอริยสงฆ์หรือพระเกจิอาจารย์ ซึ่งตามธรรมเนียมนิยมเริ่มจัดจากฝั่งซ้ายขององค์พระ (ฝั่งขวาของผู้บูชา) ไล่เรียงตามสมณศักดิ์ ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ภาพบรรพบุรุษ หรืออัฐิ ควรอยู่ตำแหน่งต่ำลงและแยกให้ถ่อมสงบ ลำดับนี้ไม่ได้บอกว่าใครสำคัญกว่าใคร หากเป็นการวางโครงให้บ้านทั้งหลังได้ “หายใจ” อย่างเป็นจังหวะเดียวกัน


เมื่อเข้าใจลำดับแล้ว คำถามถัดมาคือ “ควรเลือกชุดโต๊ะแบบไหนดี” บ้านพื้นที่จำกัดอาจเริ่มที่ หมู่ 5 ซึ่งครบองค์ประกอบพื้นฐานและไม่กินที่ บ้านที่อยากได้ความสมบูรณ์ขึ้นนิยม หมู่ 7 เพราะสมดุลทั้งพิธีการและพื้นที่ ส่วนใครที่ต้องการความเต็มรูปแบบและรองรับองค์พระหลายองค์ หมู่ 9 คือคำตอบ ทั้งหมดนี้ไม่มีสูตรตายตัว สำคัญคือความสัมพันธ์ระหว่างขนาดหน้าตักพระกับ “หน้าโต๊ะ” (ความกว้างของโต๊ะย่อย) เช่น “หมู่ 9 หน้า 7” หมายถึงมีโต๊ะย่อย 9 ตัว แต่ละตัวกว้าง 7 นิ้ว หากหน้าตักพระใหญ่ขึ้น หน้าโต๊ะก็ควรกว้างขึ้นเพื่อให้วางเครื่องบูชาได้อย่างพอดี ไม่แออัด และหยิบจับสะดวก


ส่วนตำแหน่งตั้งโต๊ะนั้น หลายบ้านเลือกยึดหลักเลี่ยงจุดที่ทำให้ใจไม่นิ่ง โดยอาศัยความเชื่อและประสบการณ์ร่วมของการอยู่อาศัย เช่น ไม่ตั้งหันหน้าเข้าห้องน้ำหรือชิดสุขภัณฑ์ เพราะบ้านที่ดีควรแยกพื้นที่สะอาดทางพิธีออกจากพื้นที่ใช้งานส่วนตัว ไม่วางใต้คานที่กดสายตา ไม่ตั้งชนกับประตูหลักหรือปลายบันไดที่มีการเคลื่อนไหวแรง และเว้นระยะจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการสั่นสะเทือน เพื่อให้มุมบูชายังคงนิ่ง เงียบ และปลอดภัย หากจำเป็นต้องตั้งในห้องนอน ก็กั้นฉากให้เป็นสัดส่วนและรักษาความเรียบร้อย สาระสำคัญไม่ใช่การกลัวอัปมงคล หากคือการรู้เท่าทัน “บรรยากาศ” ที่จะช่วยให้ใจตั้งมั่นง่ายขึ้น


พิธีกรรมเล็ก ๆ ที่ทำให้มุมนี้มีชีวิตเริ่มจากลำดับการจุดไฟบูชา: เทียนด้านซ้ายของผู้บูชาก่อน ตามด้วยเทียนด้านขวา แล้วจึงจุดธูป ลำดับที่ดูเรียบง่ายนี้ช่วยฝึกความตั้งใจ รู้ว่าขณะนี้เรากำลังทำสิ่งใดอยู่ จากนั้นคือการดูแลความสะอาด เปลี่ยนน้ำและดอกไม้ให้สดเสมอ เช็ดถูฝุ่นแต่เบามือ โดยเฉพาะหากเป็นงานฝีมือแบบลายรดน้ำ ลงรักปิดทอง ก็ควรหลีกเลี่ยงแดดตรงและความชื้นสูง ตรวจความมั่นคงของโต๊ะและผนังยึดเป็นระยะ ๆ เพื่อให้การกราบไหว้ปลอดภัยและสบายใจ


เรื่องวัสดุและสไตล์ก็สะท้อนบุคลิกของบ้านได้ดี ไม้สักหรือไม้เนื้อแข็งให้ความรู้สึกหนักแน่นและยืนยาว ไม้ยางพาราอบแห้งหรือผิวเมลามีนดูแลง่าย น้ำหนักเบา ถ้าชอบบรรยากาศพิธีการ งานลงรักปิดทองหรือลายรดน้ำช่วยเติมความสง่า แต่ถ้าบ้านเป็นสไตล์โมเดิร์น โทนไม้ธรรมชาติ วอลนัต หรือดำ–ทอง ก็ช่วยให้มุมบูชาดูร่วมสมัยโดยยังคงความสำรวม สิ่งที่ควรคิดเสมอคือสัดส่วนและระดับสายตา เวลาคุกเข่าหรือหมอบกราบควรมองเห็นองค์พระได้ชัดโดยไม่ต้องเงยหรือก้มเกินไป


บางบ้านชอบประดับมาก บางบ้านชอบว่างโล่ง ไม่มีผิดถูก ตราบใดที่มุมนี้ช่วยให้เราหยุดนิ่งได้สักครู่ในแต่ละวัน ลองตั้งคำถามง่าย ๆ ก่อนเลือกของ—เราจะยกมือไหว้ที่นี่ทุกเช้าไหม เราจะรักษาให้สะอาดและสดใหม่ได้สม่ำเสมอหรือเปล่า หากคำตอบคือใช่ ไม่ว่าชุดจะใหญ่หรือเล็ก มุมนี้ก็จะทำหน้าที่ได้เต็มที่ของมันเอง


ท้ายที่สุด โต๊ะหมู่บูชาคือกระจกเงาเล็ก ๆ ของชีวิตครอบครัว วันที่เราใจร้อน โต๊ะอาจรก วันที่เราสงบ พื้นที่นี้ก็มักเรียบร้อย พอเราจัดใหม่ให้เป็นระเบียบ เรามักพบว่าความคิดก็กลับมาเป็นระเบียบตามไปด้วย และนั่นอาจเป็นความหมายที่แท้จริงของ “ความเป็นสิริมงคล” — ไม่ใช่สิ่งลี้ลับจากที่ไหน แต่คือความสงบที่เราสร้างขึ้นได้ทุกวันจากการดูแลมุมเล็ก ๆ ในบ้านให้เรียบง่ายและพอดี


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.





อ่านเพิ่มเติม
การเลือกซื้อเตียงนอน - ดำรงค์โฮมพลัส

การเลือกซื้อเตียงนอน

หมวดหมู่: บทความ

การเลือกซื้อเตียงนอนที่ดีที่สุด เพื่อสุขภาพการนอนที่เหนือกว่า
การตัดสินใจเลือกซื้อ เตียงนอน ครั้งใหม่ ไม่ใช่เพียงการเลือกเฟอร์นิเจอร์ แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว เพราะที่นอนมีบทบาทสำคัญโดยตรงต่อการฟื้นฟูร่างกาย ลดอาการปวดเมื่อย และรักษาแนวกระดูกสันหลังให้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ ดังนั้น การเลือกชุดเครื่องนอนที่เหมาะสมที่สุดจึงต้องพิจารณาอย่างพิถีพิถันทั้งในด้านขนาด โครงสร้าง และวัสดุของที่นอน
ขั้นตอนที่ 1: กำหนดขนาดที่ใช่ เพื่อพื้นที่ที่สมบูรณ์แบบ


ปัจจัยแรกในการเริ่มต้นคือการประเมินขนาดเตียงให้สอดคล้องกับพื้นที่ห้องนอนและพฤติกรรมการนอนหลับของคุณ การมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการพลิกตัวถือเป็นหัวใจสำคัญของ การเลือกซื้อเตียงนอน ที่มีคุณภาพ


ขนาดมาตรฐานในประเทศไทย ที่เราคุ้นเคยกันแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลัก:


• Single Size (3.5 ฟุต): เหมาะสำหรับผู้ที่นอนคนเดียว หรือห้องนอนที่มีพื้นที่จำกัด เช่น ห้องพักในหอพัก

• Queen Size (5 ฟุต): เป็นขนาดกลางที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เหมาะสำหรับคู่รัก หรือครอบครัวขนาดเล็ก (พ่อแม่และลูกเล็กหนึ่งคน) ที่ต้องการพื้นที่กว้างพอสมควร

• King Size (6 ฟุต): มอบความสบายสูงสุด เหมาะสำหรับห้องนอนที่มีพื้นที่กว้างขวาง คู่รักที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวสูง หรือครอบครัวที่อาจมีผู้นอนรวมกัน 3-4 คน


ข้อควรระวังสำคัญ:


หากคุณวางแผนจะซื้อที่นอนหรือเครื่องนอนจากแบรนด์นำเข้า ควรตรวจสอบขนาดเป็นหน่วยเซนติเมตรเสมอ เพราะขนาดมาตรฐานของไทย (เช่น King Size: 182 x 198 ซม.) แตกต่างจากมาตรฐานของอเมริกาและยุโรปอย่างชัดเจน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาที่นอนไม่พอดีกับ โครงเตียง ได้


ขั้นตอนที่ 2: พิจารณาโครงสร้างเตียง: เหล็กหรือไม้ดี?


โครงเตียง ทำหน้าที่เป็นฐานรากที่มั่นคงของระบบการนอนหลับ การเลือกวัสดุจึงส่งผลโดยตรงต่อความทนทานและอายุการใช้งานของเตียง


• โครงเตียงเหล็ก (Steel Bed): โดดเด่นในเรื่องความทนทานเชิงโครงสร้างและความคุ้มค่า โครงเหล็กสามารถรับน้ำหนักได้ดีเยี่ยมและไม่แตกหักง่ายจากการใช้งานหนัก

นอกจากนี้ ยังมีข้อได้เปรียบที่สำคัญในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากปลวกหรือความชื้น และมีน้ำหนักเบา ทำให้การเคลื่อนย้ายหรือจัดห้องใหม่ทำได้ง่ายกว่ามาก เพื่อให้ได้ความแข็งแรงสูงสุด ควรมองหาโครงเตียงเหล็กที่ผ่านการเคลือบป้องกันสนิมและทำสีแบบ Powder Coating


• โครงเตียงไม้จริง (Solid Wood Bed): มอบสัมผัสที่อบอุ่นและมีลวดลายสวยงามตามธรรมชาติ เหมาะกับการตกแต่งสไตล์คลาสสิก

อย่างไรก็ตาม เตียงไม้จริงมักมีราคาสูงที่สุด มีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนย้ายยาก และที่สำคัญที่สุดคือมีความเสี่ยงต่อปัญหาปลวก แมลง และความเสียหายจากความชื้น หากเลือกไม้จริง คุณจะต้องพร้อมสำหรับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ


• ไม้สังเคราะห์ (MDF/Particle Board): เป็นทางเลือกที่ประหยัดที่สุด แต่มีความทนทานต่อน้ำและความชื้นต่ำมาก ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานหนักหรือในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เนื่องจากอาจทำให้โครงสร้างเสียหายหรือบวมพองได้ง่าย


ขั้นตอนที่ 3: ระบบรองรับที่นอนและการระบายอากาศ


ฐานรองที่นอน ไม่ว่าจะเป็นฐานกล่องทึบ หรือฐานระแนง ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและสุขอนามัยของที่นอน ฐานรองที่ดีต้องแข็งแรงเพียงพอที่จะรองรับน้ำหนักรวมทั้งหมด และต้องช่วยเสริมการระบายอากาศภายใต้ที่นอน


• ฐานเตียงทึบ (Platform): เหมาะสำหรับที่นอนที่ต้องการการรองรับเต็มพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เช่น ที่นอนยางพารา หรือโฟมความหนาแน่นสูง

• ฐานเตียงระแนง (Slats): การใช้ระแนงสปริงหรือแผ่นตาข่ายโลหะ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศใต้ที่นอน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับที่นอนบางประเภท (เช่น ที่นอนโฟม) ที่อาจกักเก็บความร้อนและเสี่ยงต่อการสะสมความชื้น หากห้องของคุณมีพื้นที่จำกัด การเลือกฐานเตียงแบบมีลิ้นชัก (Storage Base) ก็เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดในการเพิ่มพื้นที่เก็บของ


ขั้นตอนที่ 4: การเลือกที่นอนตามหลักสรีรศาสตร์


ที่นอนเพื่อสุขภาพ ที่ดีที่สุดคือที่นอนที่สอดคล้องกับท่านอนและน้ำหนักตัวของคุณ เพื่อให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่เป็นธรรมชาติ


A. การเลือกตามระดับความแน่น


คนนอนหงาย (Back Sleepers): ควรเลือกที่นอนที่มีระดับความแน่น แน่น (Firm) เพื่อให้การรองรับหลังส่วนล่างที่ดี และป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังแอ่น

คนนอนตะแคง (Side Sleepers): เหมาะกับที่นอนที่มีระดับความแน่น แน่นปานกลางถึงแน่น โดยต้องมีจุดรับน้ำหนักที่ยืดหยุ่นพอสมควร เพื่อให้ไหล่และสะโพกสามารถจมลงไปในที่นอนได้เล็กน้อย ทำให้กระดูกสันหลังเป็นแนวตรง

ผู้มีน้ำหนักตัวมาก: ควรเลือกที่นอนที่เน้นคุณสมบัติ แน่นและเด้ง (Firm and Responsive) และหลีกเลี่ยงที่นอนที่นุ่มจนยุบเป็นแอ่ง การเลือกที่นอนที่คืนตัวไวจะช่วยให้การพลิกตัวและการลุกออกจากเตียงทำได้สะดวกขึ้น ลดความเสี่ยงต่ออาการปวดหลัง


B. ที่นอนสำหรับผู้นอนร่วม


สำหรับคู่รักที่นอนเตียง Queen Size หรือ King Size ปัญหาการตื่นกลางดึกจากแรงสั่นสะเทือนเมื่อคนข้างๆ พลิกตัวมักเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย

ที่นอนพ็อกเก็ตสปริง (Pocket Spring) คือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับปัญหานี้ เพราะแต่ละสปริงทำงานเป็นอิสระจากกัน ทำให้มีคุณสมบัติในการ แยกการเคลื่อนไหว (Motion Isolation) สูง ช่วยให้คุณและคู่นอนสามารถหลับได้อย่างต่อเนื่องตลอดคืนโดยไม่ถูกรบกวน ที่นอนพ็อกเก็ตสปริงคุณภาพสูง มักมีการเสริมด้วยวัสดุอื่นๆ เช่น ยางพาราแท้ หรือคูลเจลเมมโมรี่โฟม เพื่อเพิ่มความสบายและการรองรับที่ดีขึ้น


อย่าลืมขั้นตอนสุดท้าย—การทดลองนอน


หลังจากที่คุณได้วิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคและสรีรศาสตร์ทั้งหมดแล้ว อย่าลืมขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การทดลองนอนด้วยตนเอง การไปทดลองนอนบนที่นอนที่คุณสนใจอย่างน้อย 10-15 นาที ในท่าทางที่คุณนอนเป็นประจำ จะช่วยให้คุณประเมินความรู้สึกขณะพลิกตัว ลุกนั่ง และการกระจายน้ำหนักของที่นอนได้อย่างแท้จริง เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนใน


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.

อ่านเพิ่มเติม
โต๊ะอาหาร: ศูนย์กลางของบ้าน ที่มากกว่าการกินข้าว - ดำรงค์โฮมพลัส

โต๊ะอาหาร: ศูนย์กลางของบ้าน ที่มากกว่าการกินข้าว

หมวดหมู่: บทความ

ลองนึกภาพ... กลิ่นแกงหอมกรุ่นลอยอบอวล เสียงหัวเราะของลูกหลานดังรอบโต๊ะ ทุกคนเล่าเรื่องราวที่เจอมาตลอดทั้งวัน “วันนี้แม่เจอลูกค้าขาประจำ” “พ่อได้งานใหม่มา” “หนูสอบผ่านแล้ว!” โต๊ะอาหาร จึงไม่ใช่แค่ที่วางจานกับช้อน แต่คือ หัวใจของครอบครัว


ทำไมโต๊ะอาหารถึงสำคัญ


  • • เป็น พื้นที่สร้างความสัมพันธ์: การกินข้าวพร้อมหน้ากันทำให้ครอบครัวใกล้ชิดและเข้าใจกันมากขึ้น
  • • เป็น พื้นที่หลากบทบาท: ทั้งทำการบ้าน ประชุมเล็ก ๆ หรือแม้แต่เป็นมุมกาแฟยามเช้า
  • • เป็น สัญลักษณ์ของความอบอุ่นและความมั่งคั่ง ตามความเชื่อฮวงจุ้ย


เลือกรูปทรงให้เหมาะกับครอบครัว


  • • โต๊ะกลม: สื่อถึงความเท่าเทียม ทุกคนเห็นหน้ากันชัด คุยกันได้ลื่นไหล เหมาะสำหรับครอบครัวเล็ก
  • • โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า: ใช้งานได้จริง รองรับคนเยอะ จัดวางเข้ามุมง่าย
  • • โต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัส: กระทัดรัด เหมาะกับคอนโดหรือพื้นที่จำกัด
  • • โต๊ะวงรี: ดีไซน์ทันสมัย ประหยัดพื้นที่ แต่ยังคงความใกล้ชิด


วัสดุที่ใช่สำหรับคุณ


  • • ไม้แท้: อบอุ่น ทนทาน ดูแลได้ง่าย (เหมาะกับบ้านที่อยากได้ความเป็นธรรมชาติ)
  • • หินอ่อน: หรูหรา สวยคลาสสิก แต่ต้องดูแลเรื่องคราบ
  • • กระจก: โปร่ง เบา ทำให้ห้องดูกว้าง เหมาะกับห้องเล็ก
  • • โลหะ: แข็งแรง ทนทาน สไตล์ลอฟท์อินดัสเทรียล


เคล็ดลับการเลือกโต๊ะอาหาร


✔ • เว้นพื้นที่รอบโต๊ะอย่างน้อย 1.25 เมตร เพื่อเดินได้สะดวก

✔ • ความสูงมาตรฐานโต๊ะอาหาร 75 ซม. เก้าอี้ 43–48 ซม.

✔ • ตรวจสอบให้มีระยะห่างระหว่างเก้าอี้กับใต้โต๊ะ 25–30 ซม. จะนั่งสบายที่สุด

✔ • อย่าลืมแสงไฟ! ไฟเพดานโทนอุ่นหรือโคมไฟระย้าเหนือโต๊ะช่วยเพิ่มบรรยากาศให้น่าทาน



การเลือกโต๊ะอาหาร ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์ แต่คือการเลือก หัวใจของบ้าน ที่จะอยู่กับเรายาวนาน ทั้งความสุข ความอบอุ่น และความทรงจำดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นรอบโต๊ะ


👉 ที่ ดำรงค์โฮมพลัส เรามีชุดโต๊ะอาหารหลากหลายสไตล์ ทั้งไม้ หินอ่อน และดีไซน์โมเดิร์น พร้อมให้คุณเลือกโต๊ะที่ “ใช่” สำหรับบ้านและครอบครัว


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.

อ่านเพิ่มเติม
เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดง คืออะไร? เจาะลึกจุดเด่น-จุดด้อย  - ดำรงค์โฮมพลัส

เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดง คืออะไร? เจาะลึกจุดเด่น-จุดด้อย

หมวดหมู่: บทความ

เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดง เป็นหนึ่งในประเภทเครื่องทำน้ำอุ่นที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ให้ความสำคัญกับความทนทานและประสิทธิภาพในการทำความร้อน บทความนี้จะเจาะลึกทุกรายละเอียดตั้งแต่คุณสมบัติพื้นฐาน ไปจนถึงข้อดี ข้อเสีย และรุ่นที่น่าสนใจ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกเครื่องทำน้ำอุ่นที่คุ้มค่าที่สุด


1. ทำความรู้จัก “หม้อต้มทองแดง” หัวใจสำคัญของความทนทาน


หม้อต้มทองแดง (Copper Tank/Copper Heater) คือห้องทำความร้อนที่เป็นหัวใจหลักของเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งผลิตจากวัสดุทองแดง 100% จุดเด่นของทองแดงคือ การนำความร้อนสูง และ ทนทานต่อการกัดกร่อน ทำให้สามารถทำความร้อนได้อย่างรวดเร็วและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าวัสดุอื่น ๆ


ข้อแตกต่าง: หม้อต้มทองแดง vs. ขดลวดทองแดง


ก่อนตัดสินใจซื้อ สิ่งสำคัญคือต้องแยกให้ออกระหว่าง "หม้อต้มทองแดงแท้" และ "หม้อต้มขดลวดทองแดง" ซึ่งมักทำให้ผู้บริโภคสับสน:


  • • หม้อต้มทองแดง (Copper Tank): ตัวถัง (Chamber) ที่ใช้กักเก็บและทำความร้อนผลิตจากทองแดงทั้งชิ้น มีความหนาและแข็งแรง ทนทานสูงมาก
  • • หม้อต้มขดลวดทองแดง (Copper Coil): ใช้ขดลวดทองแดงเป็นตัวนำความร้อนบรรจุอยู่ในถังพลาสติก (เช่น Grilon) หรือวัสดุอื่น ๆ แม้จะให้ความร้อนเร็ว แต่ความทนทานโดยรวมของตัวถังอาจสู้แบบทองแดงแท้ไม่ได้


2. จุดเด่นที่ทำให้ “หม้อต้มทองแดง” ยังเป็นที่นิยม


ประสิทธิภาพและความทนทานของ เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อทองแดง มาจากคุณสมบัติเด่นของวัสดุทองแดง ดังนี้:


2.1 ทำความร้อนได้เร็วทันใจ (High Thermal Conductivity)


ทองแดงมีค่าการนำความร้อนที่สูงมากเมื่อเทียบกับสแตนเลสหรือพลาสติก (Grilon) ด้วยเหตุนี้ เครื่องทำน้ำอุ่น จึงสามารถถ่ายเทความร้อนไปยังน้ำได้อย่างรวดเร็วทันทีที่เปิดใช้งาน ทำให้คุณไม่ต้องรอน้ำอุ่นนาน


2.2 ทนทานและอายุการใช้งานยาวนาน (Durability & Long Lifespan)


ทองแดงมีความยืดหยุ่นและทนทานต่อความร้อนสูงและแรงดันน้ำได้ดีเยี่ยม โดยทั่วไป เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดง มักมีการรับประกันตัวหม้อต้มนานถึง 5-7 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในคุณภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่ารุ่นทั่วไป


2.3 ปลอดภัยและทนแรงดัน (Safety)


ทองแดงมีความสามารถในการทนแรงดันน้ำสูงได้ดีกว่าวัสดุประเภทพลาสติก ทำให้โอกาสที่หม้อต้มจะเกิดการรั่วซึมหรือแตกมีน้อยมาก อีกทั้งยังปลอดภัยและได้มาตรฐานสูงกว่า


3. จุดด้อยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ


แม้จะมีจุดเด่นด้านความทนทาน แต่ หม้อต้มทองแดง ก็มีข้อจำกัดที่ผู้บริโภคต้องรับทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ ตะกรัน (Scale)


3.1 ปัญหาตะกรันสะสมและทำความสะอาดไม่ได้


นี่คือข้อจำกัดที่สำคัญที่สุด: เมื่อมีการทำความร้อน น้ำที่มีแร่ธาตุสูง (Hard Water) เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม จะทำให้เกิด คราบตะกรัน สะสมภายในหม้อต้มทองแดง เมื่อตะกรันเกาะตัวหนาขึ้น จะส่งผลให้:


  • • ลดประสิทธิภาพการทำความร้อน: หม้อต้มต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทำให้น้ำร้อน
  • • ลดอายุการใช้งาน: ตะกรันที่เกาะตัวจะทำให้ทองแดงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

เนื่องจากโครงสร้างของหม้อต้มทองแดงส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้ปิดสนิท จึงไม่สามารถถอดล้างตะกรันได้เหมือนหม้อต้มพลาสติก เมื่อเกิดตะกรันสะสมจนมีปัญหา วิธีแก้ไขเดียวคือ เปลี่ยนหม้อต้มใหม่ทั้งชุด ซึ่งมีราคาสูง


3.2 ราคาสูงกว่า


โดยธรรมชาติของวัสดุ เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อทองแดงแท้ มักจะมีราคาสูงกว่าเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้หม้อต้มพลาสติก (Grilon) หรือขดลวดทองแดงอย่างชัดเจน


4. แนวทางการแก้ปัญหา "ตะกรัน" เพื่อยืดอายุการใช้งาน


เนื่องจากปัญหาตะกรันเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีการป้องกันดังนี้:


1. ติดตั้งเครื่องกรองน้ำก่อนเข้าเครื่อง: การติดตั้งระบบกรองน้ำ เช่น เครื่องกรองน้ำแบบเรซิ่น (Resin Filter) หรือ เครื่องกรองแบบ Polyphosphate ก่อนที่น้ำจะไหลเข้าสู่เครื่องทำน้ำอุ่น จะช่วยลดปริมาณแร่ธาตุที่เป็นสาเหตุของการเกิดตะกรันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. พิจารณาเทคโนโลยี Anti-Scale ภายนอก: ในปัจจุบันมีเทคโนโลยี Physical Water Treatment (PWT) ซึ่งเป็นเครื่องมือภายนอกที่ใช้คลื่นความถี่เพื่อปรับโครงสร้างแร่ธาตุในน้ำ ทำให้แร่ธาตุเหล่านั้นไม่เกาะตัวเป็นตะกรันในหม้อต้ม


สรุป: เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดงเหมาะกับใคร?


เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดง คือตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการ:


1. ความทนทานสูงสุด: ไม่อยากเปลี่ยนเครื่องทำน้ำอุ่นบ่อย ๆ และมองหาเครื่องที่ใช้งานได้ยาวนานเกิน 10 ปี

2. ประสิทธิภาพการทำความร้อนเร็ว: ต้องการน้ำอุ่นทันทีที่เปิดและมีอุณหภูมิที่เสถียร

3. ความมั่นคงด้านบริการ: ต้องการแบรนด์ที่มีการรับประกันหม้อต้มที่ยาวนานและมีบริการหลังการขายที่ดี


คำเตือนสำคัญ: หากคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำกระด้าง (Hard Water) สูง การลงทุนติดตั้งระบบกรองน้ำเพิ่มเติมร่วมกับ เครื่องทำน้ำอุ่นหม้อต้มทองแดง จะช่วยให้คุณได้ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่ทั้งทนทานและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไปอีกหลายปี


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.

อ่านเพิ่มเติม
ชุดทำบุญใหญ่รับออกพรรษา แพ็กเกจสิ่งของจำเป็นเพื่อเสริมสร้างบุญกุศล - ดำรงค์โฮมพลัส

ชุดทำบุญใหญ่รับออกพรรษา แพ็กเกจสิ่งของจำเป็นเพื่อเสริมสร้างบุญกุศล

หมวดหมู่: บทความ

วันออกพรรษาเป็นช่วงเวลาสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์สิ้นสุดการจำพรรษาตลอดระยะเวลา 3 เดือนในฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระภิกษุได้ศึกษาพระธรรมวินัยและประพฤติตนอย่างเคร่งครัด การได้มีโอกาสร่วมทำบุญในช่วงเทศกาลนี้จึงถือเป็นการสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ การถวายสิ่งของจำเป็นที่วัดขาดแคลน เช่น เก้าอี้พลาสติก พัดลม และหลอดไฟ จึงเป็นการทำบุญที่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและตรงกับความต้องการของศาสนสถานมากที่สุด


ความสำคัญและประเพณีวันออกพรรษา


วันออกพรรษา (บาลี: ปวารณา) หรือวันปวารณาออกพรรษา คือวันที่พระสงฆ์สิ้นสุดการจำพรรษาตลอดระยะเวลา 3 เดือนในฤดูฝน ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่พระสงฆ์สามารถเดินทางไปค้างแรมที่อื่นได้ และเริ่มต้นการปฏิบัติภารกิจทางศาสนาตามปกติ


ที่มาและกิจกรรมสำคัญ:


  • • การจำพรรษา: ประเพณีนี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยพระพุทธเจ้าบัญญัติให้พระสงฆ์อยู่ประจำ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดฤดูฝน เพื่อป้องกันการไปเหยียบย่ำพืชผลของชาวบ้านหรือทำอันตรายสัตว์เล็กสัตว์น้อย
  • • วันปวารณา: ในวันออกพรรษา พระสงฆ์จะทำพิธีปวารณา คือเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ หากเห็นว่าได้กระทำผิดในระหว่างพรรษา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์และการให้อภัยในหมู่คณะสงฆ์
  • • ตักบาตรเทโว: วันรุ่งขึ้นหลังจากวันออกพรรษา ชาวพุทธจะร่วมประเพณีตักบาตรเทโวโรหณะ ซึ่งเป็นการรำลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากขึ้นไปโปรดพระมารดาตลอดช่วงเข้าพรรษา


แพ็กเกจทำบุญ: สิ่งของจำเป็นที่วัดต้องการ


สำหรับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการร่วมทำบุญ การเลือกสรรสิ่งของที่จำเป็นต่อการใช้งานจริงของวัดถือเป็นหัวใจสำคัญ เราขอแนะนำให้จัดทำ "แพ็กเกจบุญ" ด้วยการจัดซื้อสิ่งของหลักสามชนิดดังนี้


1. เก้าอี้พลาสติก: สำหรับรองรับพุทธศาสนิกชน


เก้าอี้พลาสติกเป็นสิ่งของที่วัดมีความต้องการสูง เนื่องจากใช้ในการจัดงานพิธีต่างๆ การรองรับญาติโยม และการอำนวยความสะดวกในการฟังธรรม การเลือกเก้าอี้เพื่อถวายวัดควรเน้นที่คุณภาพและความทนทานเป็นหลัก ควรเป็นเก้าอี้ที่ทำจากพลาสติกหนา มีโครงสร้างที่แข็งแรง สามารถรับน้ำหนักได้มากและใช้งานได้ยาวนาน หากต้องการทำบุญในปริมาณมาก การซื้อแบบยกโหลหรือติดต่อขอราคาขายส่งจะช่วยให้ได้ราคาที่คุ้มค่ากว่า


2. พัดลมและหลอดไฟ: เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความสะดวกสบาย


พัดลมและหลอดไฟเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่วัดต้องใช้ตลอดทั้งปี การถวายสิ่งของเหล่านี้จึงเป็นการสร้างบุญที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่พระสงฆ์และผู้มาปฏิบัติธรรม


  • • พัดลม: เพื่อช่วยคลายร้อนในพื้นที่กว้าง เช่น ศาลาการเปรียญ ควรเลือกพัดลมตั้งพื้นที่มีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 16 หรือ 18 นิ้วขึ้นไป เพื่อให้กำลังลมสูงและครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง
  • • หลอดไฟ: ปัจจุบันวัดส่วนใหญ่นิยมใช้ หลอดไฟ LED เนื่องจากให้ความสว่างสูงและช่วยประหยัดพลังงานได้มากถึง 85% เมื่อเทียบกับหลอดไฟธรรมดา นอกจากนี้ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า ทำให้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของวัดในระยะยาว


การเลือกสรรสิ่งของทำบุญที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของวัด ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความสุขความสบายให้แก่พระสงฆ์และผู้มาปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างบุญที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ศาสนาอีกด้วย


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.

อ่านเพิ่มเติม
กระเบื้องแกรนิตโต้ คืออะไร ? รู้จักคุณสมบัติและการเลือกใช้ให้ถูกใจ - ดำรงค์โฮมพลัส

กระเบื้องแกรนิตโต้ คืออะไร ? รู้จักคุณสมบัติและการเลือกใช้ให้ถูกใจ

หมวดหมู่: บทความ

กระเบื้องแกรนิตโต้ (Granito Tiles) คือ หนึ่งในวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ด้วยความแข็งแรงทนทานและรูปลักษณ์ที่สวยงาม แต่หลายคนอาจยังสับสนว่ากระเบื้องชนิดนี้คืออะไร และแตกต่างจากกระเบื้องประเภทอื่นอย่างไร บทความนี้จะเจาะลึกทุกข้อสงสัย เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและเลือกใช้กระเบื้องแกรนิตโต้ได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่าที่สุด
แกรนิตโต้ คืออะไร? ทำไมถึงไม่ใช่หินแกรนิตธรรมชาติ

หลายคนมักเข้าใจผิดว่ากระเบื้องแกรนิตโต้คือหินแกรนิตธรรมชาติที่นำมาตัดเป็นแผ่น แท้จริงแล้ว "แกรนิตโต้" เป็นชื่อเรียกทางการค้าของ กระเบื้องพอร์ซเลน (Porcelain Tiles) ชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกผลิตขึ้นโดยเลียนแบบลวดลายของหินแกรนิตธรรมชาติ


ส่วนประกอบและกรรมวิธีการผลิต


  • • วัตถุดิบ: กระเบื้องแกรนิตโต้ผลิตจากผงหินแกรนิตและดินขาวพอร์ซเลน (Porcelain Clay) ที่นำมาผสมเข้าด้วยกัน
  • • การอัดขึ้นรูป: นำส่วนผสมมาอัดขึ้นรูปด้วยแรงดันสูงมาก ทำให้เนื้อกระเบื้องมีความหนาแน่นเป็นพิเศษ
  • • การเผา: นำไปเผาด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า 1,200 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าการเผากระเบื้องเซรามิกทั่วไปมาก กระบวนการนี้ทำให้เนื้อกระเบื้องแกรนิตโต้หลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งแผ่น


ด้วยกรรมวิธีเหล่านี้ จึงทำให้กระเบื้องแกรนิตโต้มีคุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือกว่ากระเบื้องเซรามิกทั่วไป และแตกต่างจากหินแกรนิตธรรมชาติซึ่งเป็นหินที่ถูกสกัดมาจากแหล่งกำเนิดโดยตรง


คุณสมบัติเด่นของกระเบื้องแกรนิตโต้ที่ควรรู้


กระเบื้องแกรนิตโต้ได้รับการยอมรับว่าเป็นวัสดุที่เหมาะสำหรับปูพื้นในพื้นที่ที่ต้องการความทนทานสูง เนื่องจากคุณสมบัติที่เหนือกว่ากระเบื้องชนิดอื่น ๆ ดังนี้:


  • • ความแข็งแกร่งทนทาน: มีความทนทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม ไม่แตกหักง่าย
  • • อัตราการดูดซึมน้ำต่ำมาก: มีค่าการดูดซึมน้ำต่ำกว่า 0.5% ทำให้ไม่สะสมความชื้น และไม่เกิดคราบด่างดำจากความชื้น
  • • เนื้อเดียวกันตลอดทั้งแผ่น: เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตทำให้เนื้อสีและลวดลายเป็นเนื้อเดียวกันตั้งแต่ผิวหน้าไปจนถึงด้านใน หากเกิดการบิ่นหรือรอยขีดข่วนจะไม่เห็นเนื้อในที่แตกต่างออกไป
  • • ทำความสะอาดง่าย: ผิวหน้ามีความเรียบเนียน ไม่เก็บฝุ่นหรือสิ่งสกปรก จึงดูแลรักษาง่าย


กระเบื้องแกรนิตโต้ vs. กระเบื้องชนิดอื่น: ข้อแตกต่างที่สำคัญ


เพื่อให้เข้าใจถึงความโดดเด่นของกระเบื้องแกรนิตโต้ได้ดียิ่งขึ้น ควรพิจารณาเปรียบเทียบกับกระเบื้องยอดนิยมชนิดอื่น ๆ อย่าง กระเบื้องเซรามิก และ กระเบื้องพอร์ซเลน ซึ่งมีข้อแตกต่างที่สำคัญในด้านคุณสมบัติและกรรมวิธีการผลิต


1. ส่วนประกอบและเนื้อกระเบื้อง


กระเบื้องเซรามิก ผลิตจากดินเหนียวและทรายเป็นหลัก แล้วนำไปเผาและเคลือบผิวหน้า ทำให้เนื้อกระเบื้องมีชั้นเคลือบผิวแยกจากเนื้อด้านในอย่างชัดเจน ในทางกลับกัน กระเบื้องแกรนิตโต้ ซึ่งเป็นกระเบื้องชนิดหนึ่งของ กระเบื้องพอร์ซเลน ผลิตจากส่วนผสมของผงหินแกรนิตและดินขาวพอร์ซเลนคุณภาพสูง แล้วนำไปผ่านกระบวนการอัดและเผาด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่ามาก ทำให้มีเนื้อเดียวกันตลอดทั้งแผ่น ข้อดีคือหากเกิดรอยบิ่นหรือรอยขีดข่วน จะไม่เห็นเนื้อในที่แตกต่างจากผิวหน้า


2. ความแข็งแรงและการดูดซึมน้ำ


ด้วยกรรมวิธีผลิตที่แตกต่างกัน ทำให้กระเบื้องแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กระเบื้องเซรามิก มีความแข็งแรงต่ำที่สุดและมีอัตราการดูดซึมน้ำสูงกว่า 3% จึงเหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีความชื้นสูงและมีปริมาณการสัญจรน้อย เช่น การปูผนัง ในขณะที่ กระเบื้องแกรนิตโต้ และ กระเบื้องพอร์ซเลน มีความแข็งแรงทนทานสูงมาก ทนต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม และมีอัตราการดูดซึมน้ำต่ำกว่า 0.5% ทำให้ทนทานต่อความชื้น ไม่เกิดคราบด่างดำ จึงสามารถใช้ได้ทั้งพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารที่มีการสัญจรสูงได้เป็นอย่างดี


3. การใช้งาน


เนื่องจากคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การใช้งานจึงมีความเหมาะสมต่างกัน กระเบื้องเซรามิก ส่วนใหญ่นิยมใช้สำหรับปูผนังหรือพื้นภายในอาคารที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากนัก เช่น ห้องนอนหรือห้องรับแขก กระเบื้องแกรนิตโต้ และ กระเบื้องพอร์ซเลน เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความทนทานสูงเป็นพิเศษ เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ หรือแม้แต่พื้นที่กลางแจ้ง เนื่องจากสามารถรองรับการสัญจรหนักและทนต่อสภาพอากาศได้ดี


การเลือกซื้อกระเบื้องแกรนิตโต้ตามประเภทผิวหน้า


กระเบื้องแกรนิตโต้มีผิวหน้าให้เลือกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานในแต่ละพื้นที่:


  • • ผิวหน้าแบบมันเงา (Polished): ผ่านกระบวนการขัดผิวหน้าจนเงาวาวคล้ายกระจก ให้ความรู้สึกหรูหรา นิยมใช้ในห้องนั่งเล่นหรือโถงทางเดินที่ต้องการความโดดเด่น อย่างไรก็ตาม ผิวแบบนี้อาจลื่นได้ง่ายเมื่อเปียกน้ำ จึงไม่เหมาะกับห้องน้ำ
  • • ผิวหน้าแบบด้าน (Matt/Unpolished): ไม่มีการขัดผิวหน้า ทำให้มีผิวสัมผัสที่หยาบเล็กน้อย มีคุณสมบัติกันลื่นได้ดีกว่าแบบมันเงา เหมาะสำหรับปูพื้นห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่กลางแจ้งที่เสี่ยงต่อการเปียกน้ำ
  • • ผิวหน้าแบบกึ่งมันกึ่งด้าน (Lappato): เป็นการผสมผสานระหว่างผิวหน้าแบบมันเงาและแบบด้าน ให้ความรู้สึกสวยงามและลดความลื่นได้ในระดับหนึ่ง
  • • ผิวหน้าแบบกันลื่น (Anti-Slip): มีค่ากันลื่น (R-Value) ที่สูง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยเป็นพิเศษ เช่น บริเวณรอบสระว่ายน้ำหรือทางเดินในสวน


การดูแลรักษาและข้อควรระวัง


การดูแลรักษากระเบื้องแกรนิตโต้เป็นเรื่องที่ง่ายและไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ :


  • • ทำความสะอาดประจำวัน: ใช้ไม้ถูพื้นหรือผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดได้ตามปกติ
  • • คราบสกปรกทั่วไป: ใช้น้ำยาทำความสะอาดสำหรับกระเบื้องโดยเฉพาะ หรือน้ำยาล้างจานแบบเจือจางเพื่อเช็ดคราบเปื้อน
  • • สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง: ไม่ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง เช่น กรดเกลือ หรือน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำที่มีความเข้มข้นสูง เพราะอาจทำให้ผิวหน้ากระเบื้องเสียหายได้


ด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วนทั้งด้านความสวยงาม ความแข็งแกร่ง และการดูแลที่ง่ายดาย ทำให้ กระเบื้องแกรนิตโต้ เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับการตกแต่งพื้นที่ที่ต้องการความคงทนและอายุการใช้งานที่ยาวนานครับ


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.

อ่านเพิ่มเติม
ทำความรู้จักกระเบื้องโมเสค จากศิลปะโบราณสู่ของตกแต่งบ้านยอดนิยม - ดำรงค์โฮมพลัส

ทำความรู้จักกระเบื้องโมเสค จากศิลปะโบราณสู่ของตกแต่งบ้านยอดนิยม

หมวดหมู่: บทควาาม

หากคุณกำลังมองหาวัสดุที่จะมาเติมเต็มจินตนาการในการตกแต่งบ้านให้มีเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร กระเบื้องโมเสค (Mosaic Tiles) คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ ด้วยขนาดที่เล็ก สีสันที่หลากหลาย และความสามารถในการสร้างลวดลายได้อย่างอิสระ ทำให้กระเบื้องชนิดนี้เป็นมากกว่าวัสดุปูพื้นผนัง แต่เป็นงานศิลปะที่สามารถเปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็นมุมโปรดที่น่าจดจำ


บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกระเบื้องโมเสคให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ประเภทของวัสดุ ข้อดี-ข้อเสียที่ต้องรู้ ไปจนถึงไอเดียการนำไปใช้งานในส่วนต่างๆ ของบ้าน พร้อมแนะนำแหล่งซื้อและช่วงราคา เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกใช้ได้อย่างมั่นใจ


ทำความรู้จักกระเบื้องโมเสค: จากศิลปะโบราณสู่ของตกแต่งบ้านยอดนิยม


กระเบื้องโมเสค คือ การนำกระเบื้องชิ้นเล็กๆ (โดยทั่วไปขนาดไม่เกิน 4x4 นิ้ว) มาเรียงต่อกันเป็นลวดลายหรือภาพต่างๆ บนแผ่นตาข่าย (Mesh Mounted) ที่ยึดอยู่ด้านหลัง ทำให้สะดวกต่อการติดตั้งเป็นแผ่นใหญ่ๆ ได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ

ศิลปะการตกแต่งด้วยโมเสคมีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปถึงยุคเมโสโปเตเมีย กรีก และโรมันโบราณ ซึ่งมักใช้ประดับตกแต่งวิหารและคฤหาสน์หรูหราเพื่อบ่งบอกถึงความมั่งคั่งและรสนิยม ปัจจุบัน กระเบื้องโมเสคได้ถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายและเข้าถึงง่าย กลายเป็นวัสดุยอดนิยมที่สถาปนิกและนักออกแบบภายในเลือกใช้เพื่อสร้างจุดเด่น (Accent) และเพิ่มมิติให้กับงานออกแบบ


เจาะลึกประเภทของกระเบื้องโมเสค: เลือกวัสดุไหนให้เหมาะกับบ้านของคุณ?


หัวใจสำคัญของการเลือกกระเบื้องโมเสคคือการทำความเข้าใจคุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิด เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละพื้นที่


กระเบื้องโมเสคเซรามิกและพอร์ซเลน (Ceramic & Porcelain Mosaic)


เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากมีความแข็งแรงทนทานสูง ทนต่อการขีดข่วนได้ดี มีสีสันและลวดลายให้เลือกมากมาย และที่สำคัญคือมีราคาที่เข้าถึงง่าย เหมาะสำหรับใช้งานหลากหลายพื้นที่ ทั้งปูพื้นและผนังห้องน้ำ ห้องครัว หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีการสัญจรบ่อยๆ

  • จุดเด่น: ทนทาน, ดูแลรักษาง่าย, มีให้เลือกหลากหลาย, ราคาคุ้มค่า
  • เหมาะสำหรับ: พื้นและผนังห้องน้ำ, ผนังกันเปื้อนในครัว (Kitchen Backsplash), พื้นที่ทั่วไป


กระเบื้องโมเสคแก้ว (Glass Mosaic)


โดดเด่นด้วยความโปร่งแสง มันวาว และสีสันที่สดใสสวยงาม เมื่อแสงตกกระทบจะเกิดประกายระยิบระยับ สร้างความรู้สึกหรูหราและมีมิติให้กับพื้นที่ ด้วยคุณสมบัติการดูดซึมน้ำที่ต่ำเกือบเป็นศูนย์ (Low Water Absorption) จึงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับสระว่ายน้ำ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ตกแต่งผนังห้องน้ำหรือผนังครัวเพื่อเพิ่มความสว่าง


  • จุดเด่น: สวยงาม, เล่นกับแสงได้ดี, ไม่ดูดซึมน้ำ, ทำความสะอาดง่าย
  • เหมาะสำหรับ: สระว่ายน้ำ, ผนังห้องน้ำ (โดยเฉพาะโซนอาบน้ำ), ผนังกันเปื้อนในครัว


กระเบื้องโมเสคหินธรรมชาติ (Natural Stone Mosaic)


ผลิตจากหินธรรมชาติ เช่น หินอ่อน (Marble), หินทราเวอร์ทีน (Travertine) หรือหินชนวน (Slate) มาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แต่ละชิ้นจึงมีลวดลายและสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน ให้ความรู้สึกเรียบหรู อบอุ่น และเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ต้องอาศัยการดูแลรักษาที่มากกว่าและควรเคลือบน้ำยาเพื่อป้องกันคราบสกปรก


  • จุดเด่น: ลวดลายเป็นเอกลักษณ์, ให้ความรู้สึกหรูหราเป็นธรรมชาติ
  • เหมาะสำหรับ: ผนังตกแต่งในห้องรับแขก, พื้นห้องน้ำ (เลือกรุ่นที่มีผิวหน้าไม่ลื่น), ผนังหัวเตียง


ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้กระเบื้องโมเสค ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ


เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ดีที่สุด ลองมาดูข้อดีและข้อควรพิจารณาของการใช้กระเบื้องโมเสคกัน


ข้อดี (Pros):


  • • ยืดหยุ่นด้านการออกแบบ: สามารถสร้างลวดลายได้ไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นลายกราฟิก ไล่เฉดสี หรือแม้กระทั่งเป็นภาพศิลปะ
  • • เหมาะกับพื้นผิวโค้ง: ด้วยความที่ยึดมาบนแผ่นตาข่าย ทำให้สามารถปูบนพื้นผิวที่ไม่เรียบหรือมีลักษณะโค้งมนได้ดี เช่น ขอบอ่างอาบน้ำ หรือเสาทรงกลม
  • • สร้างจุดเด่นน่าสนใจ: เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้าง Accent Wall หรือตกแต่งเพียงบางส่วนเพื่อดึงดูดสายตา
  • • ทนทานและกันน้ำ: โดยเฉพาะโมเสคแก้วและพอร์ซเลน เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้น


ข้อควรพิจารณา (Cons):


  • • ร่องยาแนวจำนวนมาก: เป็นจุดที่ต้องใส่ใจในการทำความสะอาด เพราะอาจเป็นที่สะสมของคราบสกปรกและเชื้อราได้ง่าย (แก้ไขได้โดยเลือกใช้ยาแนวคุณภาพสูงที่ป้องกันเชื้อรา)
  • • ราคาสูงกว่ากระเบื้องแผ่นใหญ่: โดยทั่วไปกระเบื้องโมเสคมีราคาต่อตารางเมตรสูงกว่ากระเบื้องเซรามิกหรือพอร์ซเลนขนาดมาตรฐาน
  • • การติดตั้งต้องใช้ความชำนาญ: การปูให้ร่องยาแนวระหว่างแผ่นสม่ำเสมอและสวยงามต้องอาศัยช่างที่มีประสบการณ์


ไอเดียแต่งบ้านด้วยกระเบื้องโมเสค: เปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาให้มีชีวิตชีวา

เมื่อรู้จักประเภทและคุณสมบัติต่างๆ แล้ว เรามาดูไอเดียการนำกระเบื้องโมเสคไปใช้ในส่วนต่างๆ ของบ้านกัน


ห้องครัว (Kitchen)

ผนังกันเปื้อน (Backsplash) คือพื้นที่ที่นิยมใช้โมเสคมากที่สุด เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันผนังจากคราบน้ำมันและความร้อนแล้ว ยังเป็นจุดที่สามารถโชว์ลวดลายสวยๆ ได้เต็มที่ ลองเลือกใช้โมเสคแก้วสีสดใสเพื่อเพิ่มความโมเดิร์น หรือโมเสคลายหกเหลี่ยม (Hexagon) เพื่อสร้างลูกเล่นเก๋ๆ


ห้องน้ำ (Bathroom)


เปลี่ยนห้องน้ำธรรมดาให้กลายเป็นสปาส่วนตัวได้ง่ายๆ ด้วยการใช้กระเบื้องโมเสค


  • • ผนังหลังกระจกหรือในโซนอาบน้ำ (Shower Niche): สร้างเป็น Accent Wall ดึงดูดสายตา
  • • พื้นห้องน้ำ: เลือใช้โมเสคชิ้นเล็กๆ ที่มีร่องยาแนวเยอะ จะช่วยเพิ่มแรงเสียดทานและกันลื่นได้ดี
  • • คาดลายเป็นแถบ (Border): นำโมเสคมาตกแต่งเป็นเส้นคาดในแนวนอนหรือแนวตั้ง ตัดกับกระเบื้องแผ่นใหญ่ ช่วยเพิ่มมิติให้ห้องไม่ดูเรียบเกินไป


สระว่ายน้ำ (Swimming Pools)


โมเสคแก้วคือพระเอกสำหรับสระว่ายน้ำอย่างแท้จริง คุณสามารถเลือใช้สีฟ้า-น้ำเงินเพื่อไล่ระดับความลึกของสระ หรือสร้างลวดลายโลมา เปลือกหอย เพื่อเพิ่มความสนุกสนานและหรูหราให้กับสระว่ายน้ำของคุณ

คู่มือการติดตั้งและดูแลรักษากระเบื้องโมเสค


  • • การติดตั้ง: ควรเริ่มต้นจากการเตรียมพื้นผิวให้เรียบและสะอาด ใช้ปูนกาวสำหรับปูกระเบื้องโมเสคโดยเฉพาะ ปาดกาวด้วยเกรียงหวี จากนั้นติดแผ่นโมเสคและใช้เกรียงยางตบเบาๆ ให้แนบสนิท ทิ้งไว้ให้แห้งตามกำหนดแล้วจึงลงยาแนวในขั้นตอนสุดท้าย
  • • การดูแลรักษา: ทำความสะอาดด้วยฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ กับน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป หลีกเลี่ยงแปรงขนแข็งหรือน้ำยาที่มีฤทธิ์เป็นกรดรุนแรงซึ่งอาจทำลายผิวกระเบื้องและยาแนวได้ สำหรับร่องยาแนวที่เริ่มหมองคล้ำ สามารถใช้น้ำยาทำความสะอาดยาแนวโดยเฉพาะเพื่อคืนความขาวสะอาดได้


เลือกซื้อกระเบื้องโมเสคที่ไหนดี? พร้อมสำรวจราคาในไทย


ปัจจุบันกระเบื้องโมเสคมีวางจำหน่ายทั่วไปตามร้านวัสดุก่อสร้างและของแต่งบ้านชั้นนำ

  • • แบรนด์ยอดนิยม: COTTO, KASSA, DURAGRES, SOSuco และแบรนด์นำเข้าอื่นๆ
  • • ช่วงราคา: ราคาจะแตกต่างกันมากตามวัสดุและแบรนด์ โดยทั่วไปจะขายเป็นแผ่น (ขนาดประมาณ 30x30 ซม.)
  • ราคาเริ่มต้น: อาจอยู่ที่แผ่นละ 80 - 150 บาท สำหรับเซรามิกพื้นฐาน
  • ราคากลางถึงสูง: สำหรับโมเสคแก้วหรือหินธรรมชาติ ราคาอาจอยู่ที่ 200 - 500 บาทต่อแผ่น หรือสูงกว่านั้น


สรุป


กระเบื้องโมเสคเป็นมากกว่าวัสดุปิดผิว แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณได้แสดงออกถึงตัวตนผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัย ด้วยความหลากหลายของวัสดุ สีสัน และลวดลาย ทำให้ไม่ว่าคุณจะชอบสไตล์โมเดิร์น มินิมอล หรือหรูหรา ก็สามารถเลือกใช้กระเบื้องโมเสคมาสร้างสรรค์พื้นที่ในฝันให้เป็นจริงได้อย่างแน่นอน


📌 สอบถาม/สั่งซื้อสินค้าได้ที่:

🏪 ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม

🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus

📱 LINE: https://lin.ee/owsFVCn

📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855

🕗 เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.



อ่านเพิ่มเติม
กระเบื้องยางคืออะไร? เลือกซื้ออย่างไรให้คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งาน - ดำรงค์โฮมพลัส

กระเบื้องยางคืออะไร? เลือกซื้ออย่างไรให้คุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งาน

หมวดหมู่: กระเบื้อง

กระเบื้องยาง (Vinyl Tile) คือวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่น ทั้งความสวยงาม ความทนทาน และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับกระเบื้องยางอย่างละเอียด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกซื้อมาใช้งาน


1. กระเบื้องยางคืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยม


กระเบื้องยางไม่ใช่ยางพาราอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นวัสดุปูพื้นที่ผลิตจาก โพลีเมอร์ หรือ พีวีซี (Polyvinyl Chloride) ที่ขึ้นรูปเป็นแผ่นกระเบื้อง โดยมักถูกออกแบบลวดลายให้มีความคล้ายคลึงกับวัสดุธรรมชาติ เช่น ลายไม้ ลายหิน หรือลายคอนกรีต ทำให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามแต่มีต้นทุนต่ำกว่าวัสดุจริงมาก ความนิยมของกระเบื้องยางมาจากคุณสมบัติที่หลากหลาย ทั้งความยืดหยุ่น, น้ำหนักเบา, ติดตั้งง่าย, และที่สำคัญ คือ สามารถกันน้ำได้ดี ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่ห้องครัวที่อาจมีน้ำหกบ่อยครั้ง


2. รู้จักประเภทของกระเบื้องยาง: LVT, SPC และ WPC


แม้จะเรียกรวมๆ ว่ากระเบื้องยาง แต่ในท้องตลาดมีให้เลือกหลายประเภท โดยสามประเภทหลักที่ควรรู้จักคือ LVT, SPC และ WPC ซึ่งแต่ละชนิดมีส่วนประกอบหลักและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้


กระเบื้องยาง LVT (Luxury Vinyl Tile)


โครงสร้าง : มีแกนกลางทำจาก PVC บริสุทธิ์ ทำให้ตัวกระเบื้องมีความยืดหยุ่นสูง

คุณสมบัติเด่น : ให้ความรู้สึกนุ่มสบายเท้า รองรับแรงกระแทกได้ดี และสามารถดัดโค้งงอได้

ข้อควรพิจารณา : เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง จึงอาจเกิดรอยบุบได้ง่ายหากมีของหนักตกใส่ และไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะอาจเกิดการหดหรือขยายตัวได้


กระเบื้องยาง SPC (Stone Plastic Composite)


โครงสร้าง : มีแกนกลางที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ทำจากผงหินผสมกับพลาสติก (Stone Plastic Composite)

คุณสมบัติเด่น : ทนทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดีกว่า LVT ไม่หดหรือขยายตัวตามอุณหภูมิ และกันน้ำได้ 100% จึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการความทนทานสูง

ข้อควรพิจารณา : เนื่องจากมีแกนกลางแข็ง จึงให้ความรู้สึกแข็งและเย็นกว่า LVT ใต้ฝ่าเท้า


กระเบื้องยาง WPC (Wood Plastic Composite)


โครงสร้าง : มีแกนกลางทำจากผงไม้ผสมกับพลาสติก (Wood Plastic Composite)

คุณสมบัติเด่น : มีคุณสมบัติคล้าย SPC แต่มีความยืดหยุ่นและนุ่มกว่าเล็กน้อย จึงให้ความรู้สึกสบายเท้า และยังช่วยลดเสียงสะท้อนหรือเสียงก้องได้ดีอีกด้วย

ข้อควรพิจารณา : มีราคาสูงกว่า LVT และ SPC เล็กน้อย


3. ข้อดีและข้อเสียของกระเบื้องยาง


เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น เราได้สรุปข้อดีและข้อเสียของกระเบื้องยางมาให้คุณพิจารณา ดังนี้


ข้อดี

1. ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว : โดยเฉพาะชนิดแบบคลิกล็อก (Click Lock) ที่สามารถติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องใช้กาว ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา

2. กันน้ำและทำความสะอาดง่าย : หมดกังวลเรื่องน้ำหรือความชื้น จึงเหมาะกับห้องครัว ห้องน้ำ หรือพื้นที่ที่ต้องเจอกับน้ำเป็นประจำ สามารถทำความสะอาดได้ง่ายเพียงใช้ไม้ถูพื้นหรือผ้าชุบน้ำเช็ด

3. สวยงามและมีลวดลายหลากหลาย : มีให้เลือกทั้งลายไม้ ลายหิน และลวดลายอื่นๆ ที่เลียนแบบวัสดุธรรมชาติได้สมจริง

4. ทนทานต่อรอยขีดข่วน : ด้วยชั้นเคลือบผิว (Wear Layer) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้กระเบื้องยางทนทานต่อรอยขีดข่วนจากการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี

5. ราคาเข้าถึงง่าย : โดยรวมแล้วมีราคาถูกกว่าพื้นไม้จริงหรือกระเบื้องเซรามิกคุณภาพสูง


ข้อเสีย

1. อ่อนไหวต่อความร้อนและแสงแดด : หากโดนแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานานอาจทำให้สีซีดจางและอาจเกิดการหดตัวได้ในบางประเภท

2. ต้องใช้กับพื้นเรียบเท่านั้น : หากพื้นเดิมไม่เรียบหรือไม่ได้ระดับ จะทำให้กระเบื้องปูได้ไม่สนิทและอาจเกิดการโก่งตัวได้

3. มีโอกาสเกิดรอยบุบ : แม้จะทนทาน แต่หากมีของหนักหรือแหลมคมตกใส่ อาจทำให้เกิดรอยบุบหรือรอยทะลุได้ โดยเฉพาะกระเบื้องยาง LVT


4. กระเบื้องยาง vs. วัสดุอื่นๆ: เลือกแบบไหนดี?


เมื่อพิจารณาเลือกวัสดุปูพื้น หลายคนอาจสับสนระหว่างกระเบื้องยางกับพื้นวัสดุอื่นๆ ลองมาดูข้อเปรียบเทียบที่สำคัญเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น


กระเบื้องยาง vs. พื้นไม้ลามิเนต : พื้นลามิเนตทำจากไม้อัด ทำให้ไม่ทนน้ำ บวมพองได้ง่ายเมื่อโดนความชื้น ในขณะที่กระเบื้องยางมีความยืดหยุ่นและกันน้ำได้ดีกว่า


กระเบื้องยาง vs. พื้นไม้จริง : พื้นไม้จริงให้ความรู้สึกหรูหราและอบอุ่น แต่มีราคาสูงกว่ามาก ติดตั้งยากกว่า และต้องดูแลรักษาเป็นพิเศษ ในขณะที่กระเบื้องยางให้ลวดลายที่ใกล้เคียงกับไม้จริง แต่ดูแลรักษาง่ายกว่าและมีราคาที่ถูกกว่า


กระเบื้องยาง vs. กระเบื้องเซรามิก :กระเบื้องเซรามิกแข็งแรงทนทาน แต่ติดตั้งยากกว่าและให้ความรู้สึกที่แข็งและเย็นเท้ามากกว่ากระเบื้องยาง นอกจากนี้ยังเสียงดังเมื่อมีของตกใส่ ในขณะที่กระเบื้องยางให้ความรู้สึกนุ่มสบายและช่วยลดเสียงรบกวนได้ดีกว่า


5. คู่มือเลือกซื้อกระเบื้องยาง: ให้คุ้มค่าและปลอดภัย


การเลือกซื้อกระเบื้องยางให้ตอบโจทย์การใช้งาน ควรพิจารณาจากปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้


ความหนาของแผ่นกระเบื้อง : ความหนาที่เหมาะสมจะช่วยให้กระเบื้องแข็งแรงและติดตั้งได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปมีความหนาตั้งแต่ 2-6 มิลลิเมตร (mm) หากเป็นพื้นที่ที่มีการสัญจรสูง เช่น ออฟฟิศ ควรเลือกความหนา 4-5 mm ขึ้นไป ความหนาของชั้นเคลือบผิว (Wear Layer) : ชั้นเคลือบผิวคือส่วนที่อยู่บนสุดของกระเบื้อง ทำหน้าที่ปกป้องลวดลายและป้องกันรอยขีดข่วน ยิ่งชั้นเคลือบหนามากเท่าไหร่ก็ยิ่งทนทานมากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปควรเลือกที่มีความหนาตั้งแต่ 0.3 mm ขึ้นไป


ประเภทการติดตั้ง:


แบบทากาว (Glue Down) : ติดตั้งโดยใช้กาว เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่และต้องการความคงทนถาวร

แบบคลิกล็อก (Click Lock): ติดตั้งโดยไม่ต้องใช้กาว ตัวกระเบื้องจะยึดเข้าด้วยกันด้วยระบบล็อก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการติดตั้งเอง และสามารถรื้อถอนได้ง่าย

มาตรฐานความปลอดภัย: ควรเลือกซื้อกระเบื้องยางที่ได้มาตรฐานสากล เช่น FloorScore หรือ GreenGuard


ซึ่งเป็นการรับรองว่าผลิตภัณฑ์ไม่มีสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย


6. การดูแลรักษากระเบื้องยาง


การดูแลรักษากระเบื้องยางนั้นง่ายมาก เพียงแค่กวาดหรือดูดฝุ่นเป็นประจำ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำหรือไม้ถูพื้นเช็ดทำความสะอาดได้ตามปกติ


ข้อควรระวัง คือหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง และระวังการลากเฟอร์นิเจอร์หนักๆ ซึ่งอาจทำให้พื้นเป็นรอยได้


หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับกระเบื้องยางได้มากขึ้น หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุปูพื้นได้โดยตรง เพื่อให้ได้กระเบื้องยางที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณมากที่สุด




อ่านเพิ่มเติม
LINE Icon LINE Facebook 043-761599