การเลือกใช้สารเคลือบผิวไม้ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย การตัดสินใจที่ถูกต้องจะช่วยให้งานไม้ของคุณคงความสวยงามและความทนทานได้นานหลายปี บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับสารเคลือบผิวไม้ 3 ประเภทหลัก พร้อมแนะนำวิธีเลือกใช้ให้เหมาะกับงานแต่ละประเภท
ทำไมต้องเข้าใจโครงสร้างไม้ก่อนเลือกสารเคลือบ
ก่อนที่จะเลือกสารเคลือบผิว สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจธรรมชาติของไม้ก่อน ไม้เป็นวัสดุธรรมชาติที่มีคุณสมบัติพิเศษคือการดูดและคายความชื้นตลอดเวลา ทำให้เกิดการยืดหดตัวตามสภาพอากาศ หากเลือกใช้สารเคลือบที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาการแตกร้าวหรือหลุดล่อนได้
การยึดเกาะของสารเคลือบกับผิวไม้เกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ การยึดเกาะทางกล ที่สารเคลือบไหลซึมเข้าไปในรูพรุนของไม้แล้วแข็งตัว และการยึดเกาะทางเคมี ที่เกิดจากพันธะระหว่างโมเลกุลของเรซินกับผิวไม้ สารเคลือบแต่ละชนิดมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อความทนทานและการใช้งานในระยะยาว
แบ่งตามกลไกการแข็งตัว: 2 กลุ่มใหญ่ที่ต้องรู้
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น สารเคลือบผิวไม้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มตามวิธีการแข็งตัว
1. สารเคลือบชนิดระเหยตัวทำละลาย - กลุ่มนี้แห้งตัวด้วยการระเหยของตัวทำละลาย เมื่อแห้งแล้วสามารถละลายกลับได้ด้วยตัวทำละลายเดิม ทำให้ซ่อมแซมง่าย เชลแล็กและแลคเกอร์อยู่ในกลุ่มนี้
2. สารเคลือบชนิดทำปฏิกิริยา - กลุ่มนี้เกิดปฏิกิริยาเคมีขณะแข็งตัว สร้างโครงสร้างแบบตาข่ายที่แข็งแรงมาก เมื่อแห้งแล้วจะไม่สามารถละลายได้อีก โพลียูรีเทนอยู่ในกลุ่มนี้ ความแตกต่างนี้สำคัญมากเมื่อต้องพิจารณาเรื่องการซ่อมแซมและความทนทานต่อสารเคมี
เชลแล็ก: ความคลาสสิกที่ไม่มีวันเก่า
เชลแล็กคือสารเคลือบผิวธรรมชาติที่มีประวัติยาวนานหลายศตวรรษ มันเป็นของขวัญจากธรรมชาติที่มาจากสารคัดหลั่งของแมลงครั่ง ความพิเศษของเชลแล็กอยู่ที่ความงามอันอบอุ่นและการใช้งานที่ปลอดภัยสูง
กระบวนการผลิตและองค์ประกอบ
แมลงครั่งตัวเมียจะสร้างสารเรซินเพื่อหุ้มรัง เมื่อนำมาแปรรูปจะได้ "เชลแล็กเกล็ด" ที่สามารถละลายในแอลกอฮอล์เพื่อนำมาใช้งาน การเตรียมเชลแล็กมักใช้หน่วย "Cut" เช่น "2-lb cut" หมายถึงเชลแล็ก 2 ปอนด์ผสมในแอลกอฮอล์ 1 แกลลอน ซึ่งเหมาะสำหรับการทาด้วยแปรง
องค์ประกอบหลักคือกรดไฮดรอกซีและไขขี้ผึ้งธรรมชาติประมาณ 3-5% ซึ่งไขขี้ผึ้งนี่เองที่เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติการใช้งาน
เลือกเกรดเชลแล็กอย่างไรให้เหมาะกับงาน
ในตลาดไทยจะพบเชลแล็ก 2 เกรดหลัก:
เชลแล็กที่มีแว็กซ์ - มักเป็นเกล็ดสีส้มหรือสีเข้ม ให้สัมผัสที่ลื่นมือและยืดหยุ่นดี แต่มีข้อจำกัดสำคัญคือไม่สามารถทาสีอื่นทับได้ เพราะแว็กซ์จะขัดขวางการยึดเกาะ หากบังคับทาโพลียูรีเทนทับเชลแล็กชนิดนี้ จะเกิดการหลุดล่อนอย่างแน่นอน
เชลแล็กสกัดแว็กซ์ - ผ่านกระบวนการกรองเอาไขขี้ผึ้งออก ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ตัวรองพื้นสากล" เพราะยึดเกาะได้ดีกับวัสดุเกือบทุกชนิด และยอมให้สารเคลือบชนิดอื่นทาทับได้ดีเยี่ยม เหมาะมากสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรงเพิ่ม
จุดเด่นและข้อควรระวัง
ข้อดี:
- ปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับสัมผัสอาหาร
- ให้ความงามที่มีมิติและความลึก
- ซ่อมแซมง่าย เพียงทาซ้ำจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
- แห้งเร็วภายใน 15-30 นาที
ข้อจำกัด:
- ไวต่อความร้อน การวางภาชนะร้อนจะทำให้เกิดวงฝ้าขาว
- ละลายได้เมื่อสัมผัสแอลกอฮอล์ ไม่ทนสุราหรือน้ำยาล้างมือ
- ไม่ทนด่างเข้มข้น
เชลแล็กจึงเหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง เครื่องดนตรี หรืองานศิลปะที่ต้องการความงามและการซ่อมแซมที่ง่าย แต่ไม่เหมาะกับพื้นที่ใช้งานหนักหรือสัมผัสสารเคมีบ่อย
แลคเกอร์: ความเร็วคือคำตอบสำหรับงานอุตสาหกรรม
แลคเกอร์สมัยใหม่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีพื้นฐานจากไนโตรเซลลูโลส ซึ่งเป็นพลาสติกกึ่งสังเคราะห์ที่แห้งเร็วมาก จุดเด่นที่สุดของแลคเกอร์คือเวลาแห้งตัวที่สั้นเพียง 10-20 นาที ทำให้สามารถทำงานได้หลายชั้นในวันเดียว
เคมีและตัวทำละลายที่ต้องเข้าใจ
ไนโตรเซลลูโลสสังเคราะห์จากเซลลูโลสที่ผ่านกระบวนการไนเตรชัน ทำให้ละลายได้ในตัวทำละลายอินทรีย์ ตัวทำละลายแลคเกอร์เป็นสารผสมที่ซับซ้อนของคีโตน เอสเทอร์ และไฮโดรคาร์บอน ซึ่งถูกออกแบบมาให้ระเหยด้วยอัตราที่แม่นยำ เพื่อควบคุมการไหลและการตึงผิวของฟิล์ม
การแห้งเร็วนี้ช่วยลดโอกาสที่ฝุ่นจะตกมาเกาะ และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานอย่างมาก
ในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมคือ NC Lacquer และ Pre-Cat Lacquer ช่างมักใช้ "Sanding Sealer" (แลคเกอร์รองพื้นผสมสารช่วยขัด) ทาก่อนเพื่ออุดเสี้ยนไม้ให้เต็มเร็ว แล้วจึงทับหน้าด้วยแลคเกอร์เงาหรือด้าน
แก้ปัญหา "ฝ้าขาว" ในเขตร้อนชื้น
ปัญหาที่พบบ่อยในประเทศไทยคือการเกิดฝ้าขาวบนผิวแลคเกอร์ สาเหตุมาจากตัวทำละลายระเหยเร็วเกินไป ทำให้อุณหภูมิผิวลดลง หากต่ำกว่าจุดน้ำค้าง ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นหยดน้ำเล็กๆ ผสมลงไปในฟิล์ม
วิธีแก้: ใช้ "Retarder" หรือ "ทินเนอร์กันฝ้า" ผสมเข้าไปในระบบ เพื่อชะลอการระเหย ให้ความชื้นระเหยออกไปได้ทันก่อนฟิล์มจะปิดผิว
แลคเกอร์จึงเหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน หรืองานที่ต้องการความเร็วในการผลิต โดยได้ผิวที่เนียนเรียบและสวยงาม
โพลียูรีเทน: ป้อมปราการแห่งความทนทาน
หากเชลแล็กคือศิลปะและแลคเกอร์คือความเร็ว โพลียูรีเทนคือตัวแทนของความแข็งแกร่ง เป็นโพลีเมอร์สังเคราะห์ที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างหมู่ไอโซไซยาเนตกับหมู่ไฮดรอกซิล ผลลัพธ์คือโครงสร้างที่แข็งแรงและทนทานยิ่งยวด
สูตรน้ำมัน VS สูตรน้ำ: เลือกอย่างไรให้ถูกใจ
โพลียูรีเทนสูตรน้ำมัน (Oil-Based)
ใช้ตัวทำละลายกลุ่มมิเนอรัลสปิริต มีสีเหลืองอำพันที่ช่วยขับเน้นลายไม้ให้ชัดเจนและอบอุ่น
- ข้อดี: ทนการขัดถูสูงสุด ทนความร้อนและสารเคมีดีเยี่ยม เป็นมาตรฐานสำหรับพื้นปาร์เก้ บันได และท็อปบาร์
- ข้อจำกัด: กลิ่นฉุนรุนแรง ใช้เวลาแห้ง 4-8 ชั่วโมงสำหรับแห้งสัมผัส และ 24 ชั่วโมงก่อนทาทับ เพิ่มความเสี่ยงที่ฝุ่นจะเกาะ
โพลียูรีเทนสูตรน้ำ (Water-Based)
เกิดจากการกระจายตัวของอนุภาคโพลียูรีเทนในน้ำ เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้สูตรน้ำมีสมรรถนะใกล้เคียงสูตรน้ำมันมากขึ้น โดยเฉพาะระบบ 2 ส่วน (2K) ที่มีสารเร่งแข็ง
- ข้อดี: ใสเคลียร์ ไม่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เหมาะสำหรับไม้สีอ่อนหรือสีพาสเทล แห้งเร็ว 30-60 นาที กลิ่นอ่อน ปลอดภัย
- ข้อจำกัด: ความทนทานอาจยังเป็นรองสูตรน้ำมันเล็กน้อยในเกรดทั่วไป อาจดู "เย็นชืด" บนไม้สีเข้ม
เทคนิคสำคัญ: การขัดระหว่างชั้น
ประเด็นวิกฤตของโพลียูรีเทนคือเมื่อแข็งตัวสมบูรณ์แล้วจะไม่สามารถละลายได้อีก การทาชั้นใหม่ทับจะไม่เกิดการหลอมรวมเหมือนเชลแล็กหรือแลคเกอร์ การยึดเกาะระหว่างชั้นจึงต้องพึ่งพาพันธะทางกลล้วนๆ
ขั้นตอนสำคัญ: ต้องขัดผิวระหว่างแต่ละชั้นเพื่อสร้างรอยขรุขระระดับไมโครให้ฟิล์มชั้นใหม่เข้าไปยึดเกาะ หากละเลยขั้นตอนนี้ ชั้นฟิล์มจะหลุดล่อนเป็นแผ่นได้ง่ายเมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง
โพลียูรีเทนเหมาะสำหรับพื้นไม้ ท็อปครัว พื้นที่ใช้งานหนัก หรือทุกที่ที่ต้องการการปกป้องสูงสุดจากรอยขีดข่วนและความชื้น
งานภายนอก: อย่าลืม Spar Urethane
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่สร้างความเสียหายมากคือการนำสารเคลือบภายในไปใช้ภายนอกอาคาร ปัจจัยหลักที่ทำลายงานไม้ภายนอกไม่ใช่แค่น้ำฝน แต่คือ รังสีอัลตราไวโอเลตและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
ทำไม UV ถึงอันตราย
รังสี UV มีพลังงานสูงพอที่จะทำลายลิกนินที่ผิวไม้ เมื่อลิกนินเสื่อมสภาพ เซลล์ไม้จะหลุดล่อนกลายเป็นขุยสีเทา หากใช้โพลียูรีเทนทั่วไป รังสี UV จะทะลุผ่านชั้นใสลงไปทำลายไม้ ทำให้ฟิล์มยึดเกาะกับไม้ที่เสื่อมสภาพ ผลคือฟิล์มจะลอกออกมาเป็นแผ่นๆ
Spar Urethane: โซลูชันสำหรับงานภายนอก
Spar Urethane ได้รับการออกแบบพิเศษสำหรับงานภายนอก:
- Long-oil Ratio - มีสัดส่วนน้ำมันสูง ทำให้ยืดหยุ่น สามารถยืดหดตามไม้ได้โดยไม่แตกร้าว
- UV Absorbers และ HALS - มีสารดูดซับรังสี UV และสารยับยั้งอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องทั้งฟิล์มและผิวไม้
ข้อแลกเปลี่ยน: Spar Urethane จะนิ่มกว่าโพลียูรีเทนภายใน ไม่ทนทานต่อรอยขีดข่วนหนักๆ และอาจรู้สึกเหนียวในอากาศร้อนจัด จึงไม่เหมาะกับพื้นภายในบ้านหรือโต๊ะอาหาร
เคล็ดลับการใช้งานในประเทศไทย
ผลิตภัณฑ์ที่หาได้ง่าย
แลคเกอร์: ตลาดไทยมีแบรนด์หลักอย่าง TOA, Beger และ Captain ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมเช่น TOA T-5000 หรือ Beger B-5000 แบ่งเป็น "Sanding Sealer" (รองพื้น) และ "Topcoat" (เงา/ด้าน)
โพลียูรีเทน: มีทั้งแบบ 1 ส่วน (1K) สำหรับงานทั่วไป และแบบ 2 ส่วน (2K) ที่ต้องผสม Hardener สำหรับงานที่ต้องการความทนทานสูง สำคัญ: ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็น "สำหรับภายใน" หรือ "ภายนอก" เพราะสูตรต่างกัน
เชลแล็ก: ในร้านวัสดุทั่วไปมักพบ "เชลแล็กน้ำสำเร็จรูป" (เช่น ตราหัวสิงห์) ซึ่งสะดวกแต่มีอายุสั้น สำหรับงานคุณภาพสูง แนะนำให้ซื้อ "เชลแล็กเกล็ด" และแอลกอฮอล์ 100% มาผสมเอง
แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ผิวส้ม (Orange Peel): มักเกิดจากแลคเกอร์หรือยูรีเทนข้นเกินไป แก้โดยผสมทินเนอร์ให้ได้ความหนืดที่ถูกต้อง และปรับหัวพ่นให้ละอองละเอียด
ฟองอากาศในยูรีเทน: เกิดจากการเขย่ากระป๋อง (ห้ามเด็ดขาด ใช้ไม้กวนแทน) หรือทาแปรงถูไปมาเร็วเกินไป
ไม่แห้ง (เหนียว): โดยเฉพาะในเชลแล็ก เกิดจากเชลแล็กเก่าเสื่อม หรือแอลกอฮอล์มีน้ำปนมากเกินไป แก้โดยล้างออกแล้วทาใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์สด
คำแนะนำสำหรับการเลือกใช้งาน
งานเฟอร์นิเจอร์อนุรักษ์และเครื่องดนตรี: เลือก เชลแล็ก (Dewaxed) เพื่อความงามที่มีมิติ การซ่อมแซมที่ไร้ร่องรอย และความปลอดภัยสูง
งานตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน: เลือก แลคเกอร์ (NC หรือ Pre-Cat) เพื่อการผลิตที่รวดเร็ว ผิวเนียนเรียบ และคุ้มค่า
พื้นไม้ ท็อปครัว และพื้นที่ใช้งานหนัก: เลือก โพลียูรีเทน (สูตรน้ำมันหรือ 2K) เพื่อการปกป้องสูงสุด โดยยอมรับข้อจำกัดด้านการซ่อมแซม
งานภายนอก: หลีกเลี่ยงแลคเกอร์และเชลแล็ก ใช้ Spar Urethane หรือสีย้อมไม้ระบบหายใจได้เพื่อรองรับการยืดหดและรังสี UV
สรุป: เลือกให้เหมาะสมกับงาน
การเลือกสารเคลือบผิวไม้ไม่ใช่การหา ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในเชิงสัมบูรณ์ แต่เป็นการรักษาสมดุลระหว่างความงาม ความทนทาน และกระบวนการทำงานที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการใช้งาน การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละชนิดจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
จุดสำคัญที่ต้องจำ
เชลแล็ก เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความงามคลาสสิก ความปลอดภัยสูง และการซ่อมแซมที่ง่ายดาย แต่ต้องยอมรับข้อจำกัดด้านความทนทานต่อความร้อนและสารเคมี
แลคเกอร์ เป็นตัวเลือกที่สมดุลสำหรับงานส่วนใหญ่ ให้ผิวสวยงาม แห้งเร็ว และราคาเหมาะสม เหมาะกับงานภายในที่ต้องการประสิทธิภาพการผลิตสูง
โพลียูรีเทน คือตัวเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับพื้นที่ใช้งานหนัก ทนทานต่อรอยขีดข่วนและความชื้นดีเยี่ยม แต่ต้องใส่ใจในการเตรียมผิวและการทาระหว่างชั้น
เคล็ดลับสุดท้ายสำหรับสภาพอากาศไทย
ประเทศไทยมีความชื้นสัมพัทธ์และอุณหภูมิสูง ซึ่งสร้างความท้าทายเฉพาะตัว:
- ควบคุมสภาพแวดล้อมขณะทำงาน - หากทำได้ ควรทำงานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศหรืออย่างน้อยมีพัดลมระบายอากาศดี เพื่อลดความชื้นและควบคุมอุณหภูมิ
- เลือกเวลาทำงานอย่างชาญฉลาด - หลีกเลี่ยงการทำงานในช่วงที่มีความชื้นสูงมาก เช่น หลังฝนตก หรือในตอนเช้าตรู่ที่มีหมอกหนา
- เก็บวัสดุอย่างถูกวิธี - เชลแล็กและแลคเกอร์มีอายุการเก็บจำกัด โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้น ควรซื้อในปริมาณที่ใช้หมดภายในไม่กี่เดือน และเก็บในที่ร่มเย็น
- ใช้ทินเนอร์กันฝ้าเป็นประจำ - สำหรับงานแลคเกอร์ในประเทศไทย การมี Retarder หรือทินเนอร์กันฝ้าไว้ติดมือถือเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ทางเลือก
การบำรุงรักษาผิวเคลือบ
ไม่ว่าจะเลือกใช้สารเคลือบชนิดใด การดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งาน:
สำหรับเชลแล็ก
- ทำความสะอาด: ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำเล็กน้อยเช็ด หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์
- การบำรุง: ทาซ้ำทุก 1-2 ปีเพื่อรักษาความงาม โดยฟิล์มใหม่จะหลอมรวมกับชั้นเก่าได้เนียน
- หลีกเลี่ยง: อย่าวางภาชนะร้อนจัดหรือของเปียกทิ้งไว้นาน
สำหรับแลคเกอร์
- ทำความสะอาด: ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้งหรือชุบน้ำบิดหมาดๆ
- การซ่อมแซม: รอยขีดข่วนเล็กน้อยสามารถซ่อมได้โดยทาแลคเกอร์ทับบริเวณนั้น ซึ่งจะหลอมรวมกับชั้นเดิม
- หลีกเลี่ยง: ตัวทำละลายที่แรง และการขัดถูหนักเกินไป
สำหรับโพลียูรีเทน
- ทำความสะอาด: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน หรือแค่น้ำผสมสบู่เล็กน้อย
- การบำรุง: สำหรับพื้นไม้ ควรเคลือบใหม่ทุก 3-5 ปี โดยต้องขัดผิวเดิมออกบางๆ ก่อน
- ข้อดี: ทนทานต่อการใช้งานประจำวัน ไม่ต้องดูแลพิเศษมากนัก
เทรนด์และนวัตกรรมใหม่
อุตสาหกรรมสารเคลือบผิวพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไป:
โพลียูรีเทนสูตรน้ำรุ่นใหม่
เทคโนโลยีสูตรน้ำพัฒนาไปอย่างมาก โดยเฉพาะระบบ 2K (สองส่วน) ที่มีสมรรถนะเทียบเท่าหรือใกล้เคียงสูตรน้ำมัน แต่มีกลิ่นน้อยกว่ามาก ปลอดภัยกว่า และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ราคาอาจสูงกว่าเล็กน้อย แต่คุ้มค่าสำหรับงานที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้คน
แลคเกอร์คาร์บาเมต (Carbamate Lacquer)
เป็นพัฒนาการใหม่ที่ผสมผสานข้อดีของแลคเกอร์แบบเดิมกับความแข็งแรงของระบบทำปฏิกิริยา ให้ความทนทานสูงกว่า NC Lacquer แต่ยังคงการซ่อมแซมที่ง่ายกว่าโพลียูรีเทน
สารเคลือบเกรดเฟอร์นิเจอร์หรู
สำหรับงานระดับไฮเอนด์ มีผลิตภัณฑ์นำเข้าที่ให้ความงามและทนทานเหนือกว่า เช่น Conversion Varnish หรือ Pre-catalyzed Lacquer เกรดพรีเมียม ซึ่งมีราคาสูงแต่ให้ผลลัพธ์ที่สมกับราคา
คำถามที่พบบ่อย
Q: ทาโพลียูรีเทนทับเชลแล็กได้ไหม?
A: ได้ แต่ต้องเป็นเชลแล็กสกัดแว็กซ์เท่านั้น หากเป็นเชลแล็กที่มีแว็กซ์ โพลียูรีเทนจะไม่ยึดเกาะและหลุดล่อนแน่นอน
Q: ทำไมแลคเกอร์ถึงเป็นฝ้าขาวบ่อยในประเทศไทย?
A: เพราะความชื้นสัมพัทธ์สูง เมื่อตัวทำละลายระเหยเร็ว อุณหภูมิผิวลดลงทำให้ไอน้ำควบแน่น แก้ได้โดยใช้ทินเนอร์กันฝ้า (Retarder)
Q: โพลียูรีเทนแบบไหนดีกว่ากัน สูตรน้ำมันหรือสูตรน้ำ?
A: ขึ้นกับงาน สูตรน้ำมันทนทานสูงสุดเหมาะกับพื้นที่ใช้งานหนัก สูตรน้ำปลอดภัยกว่า กลิ่นน้อยกว่า เหมาะกับงานภายในบ้านที่มีคนอยู่
Q: ต้องรอนานแค่ไหนก่อนทาชั้นถัดไป?
A: เชลแล็ก 15-30 นาที, แลคเกอร์ 30-60 นาที, โพลียูรีเทนสูตรน้ำมัน 4-8 ชั่วโมง, สูตรน้ำ 1-2 ชั่วโมง แต่ควรอ่านคำแนะนำบนฉลากเสมอ
Q: ซ่อมรอยขีดข่วนทำได้ไหม?
A: เชลแล็กและแลคเกอร์ซ่อมได้ง่ายโดยทาซ้ำบริเวณนั้น โพลียูรีเทนซ่อมยากกว่า ต้องขัดผิวบริเวณนั้นก่อนแล้วทาใหม่
เริ่มต้นโปรเจกต์ของคุณวันนี้
การเลือกสารเคลือบผิวไม้ที่เหมาะสมคือการลงทุนที่คุ้มค่า ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างมืออาชีพหรือผู้ที่ชื่นชอบงาน DIY ความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้งานของคุณประสบความสำเร็จและทนทานยาวนาน
จำไว้ว่า:
- เชลแล็ก = ความงาม + ความปลอดภัย + ซ่อมง่าย
- แลคเกอร์ = ความเร็ว + ผิวสวย + ราคาเหมาะสม
- โพลียูรีเทน = ความทนทาน + ปกป้องสูงสุด + ต้องการทักษะ
หากยังไม่แน่ใจว่าควรเลือกผลิตภัณฑ์ไหน หรือต้องการคำแนะนำเฉพาะสำหรับโปรเจกต์ของคุณ ทีมงานผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษา เรามีสารเคลือบผิวไม้คุณภาพสูงทุกประเภท ครบครันทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศและนำเข้า พร้อมอุปกรณ์ทาและเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงานคุณภาพ
สอบถาม/สั่งซื้อสินค้า ได้ที่:
ดำรงค์โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม
🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus
📱 เฟสบุ๊ค: facebook.com/damronghomeplus
💬 LINE: https://lin.ee/owsFVCn
📞 โทร: 043-761-599 หรือ 043-761-855
🕐 เปิดทุกวัน: 08.00 – 17.00 น.