Understanding Saw Blade Essentials (ฉบับแปล)วิธีเลือกใบเลื่อยให้เหมาะกับงาน | คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับช่างไม้
การเลือกซื้อใบเลื่อยสำหรับเลื่อยวงเดือน เลื่อยโต๊ะ หรือเลื่อยแขนไขว้ อาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อเข้าไปดูรายละเอียดจริงๆ กลับพบว่ามีตัวเลือกมากมายจนอาจทำให้สับสนได้ ใบเลื่อยแต่ละแบบมีจุดเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกัน การเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับศัพท์เทคนิค วัสดุที่ใช้ทำใบเลื่อย รูปแบบของฟัน จำนวนฟัน และรายละเอียดทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยให้คุณเลือกใบเลื่อยที่เหมาะสมกับงานของคุณได้อย่างมั่นใจ
วันนี้เราจะพาคุณทำความรู้จักกับหลักการเลือกใบเลื่อยอย่างละเอียด ตั้งแต่คำศัพท์พื้นฐานที่ต้องรู้ ไปจนถึงเทคนิคการเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละประเภทงาน เพื่อให้คุณได้ผลงานที่สวยงามและมีประสิทธิภาพสูงสุด
[Source: Popular Woodworking]
ศัพท์และหลักการพื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนเลือกซื้อใบเลื่อย
ประเภทการใช้งาน (Application) เริ่มต้นที่การรู้จักงานของคุณ
ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อใบเลื่อย สิ่งแรกที่ต้องถามตัวเองคือ คุณจะใช้กับเครื่องมืออะไร และจะใช้ตัดวัสดุอะไรเป็นหลัก เพราะเลื่อยแต่ละชนิดและวัสดุแต่ละประเภทต้องการใบเลื่อยที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานนั้นๆ โดยเฉพาะ แม้ว่าจะมีใบเลื่อยแบบ "General Purpose" หรือใบเลื่อยอเนกประสงค์ที่สามารถจัดการกับงานได้หลากหลาย แต่หากคุณรู้ว่าจะใช้งานกับวัสดุใดวัสดุหนึ่งเป็นหลัก การเลือกใบเลื่อยที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับวัสดุนั้นจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างเช่น หากคุณทำงานกับไม้แข็งเป็นประจำ การใช้ใบเลื่อยที่ออกแบบมาสำหรับไม้แข็งโดยเฉพาะจะช่วยให้การตัดเรียบเนียนขึ้น ลดการแตกร่อนของขอบไม้ และยืดอายุการใช้งานของใบเลื่อยได้นานกว่า หรือหากต้องตัดไม้อัดหรือ MDF ที่มีความหนาแน่นสูง ก็ควรเลือกใบเลื่อยที่มีฟันถี่และทนทานพิเศษ
[Source: The Sharp Cut]
จำนวนฟัน (Number of Teeth) กุญแจสำคัญของความเรียบและความเร็ว
จำนวนฟันของใบเลื่อยเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดลักษณะการตัด กฎพื้นฐานคือ ฟันมากจะให้ผิวตัดที่เรียบเนียนกว่า ในขณะที่ฟันน้อยจะตัดได้เร็วกว่าแต่ผิวตัดจะหยาบกว่า
ใบเลื่อยตัดขวางเส้นใย (Crosscut Blade) มักมีจำนวนฟันมากกว่า เหมาะสำหรับการตัดตั้งฉากกับทิศทางเส้นใยไม้ เพื่อให้ได้ผิวตัดที่เรียบเนียนและสวยงาม ส่วนใบเลื่อยตัดตามเส้นใย (Rip Blade) จะมีฟันน้อยกว่า ออกแบบมาเพื่อตัดไปตามทิศทางเส้นใยไม้ ทำให้สามารถกำจัดเศษไม้ได้มากและรวดเร็ว แม้ว่าผิวตัดจะไม่เรียบเท่า แต่ก็เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วในการตัด
หลักการง่ายๆ ที่ช่วยในการเลือกใบเลื่อยคือ หากต้องการผิวตัดที่เรียบเนียน ให้เลือกใบเลื่อยที่มีฟันมากกว่า แต่ต้องจำไว้ว่าคุณต้องป้อนไม้ช้าลงเพื่อให้ฟันแต่ละซี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน หากต้องการความเร็วในการตัด ใบเลื่อยที่มีฟันน้อยกว่าจะช่วยกำจัดเศษไม้ได้รวดเร็วขึ้น แต่อาจทำให้เกิดรอยขาดหรือแตกร่อนที่ขอบตัดได้มากกว่า
[Source: Popular Woodwoorking]
ร่องระหว่างฟัน (Gullet) พื้นที่สำหรับกำจัดเศษไม้
Gullet คือช่องว่างระหว่างฟันแต่ละซี่บนใบเลื่อย ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการรองรับและขับเศษไม้ออกจากรอยตัด ขนาดของ Gullet มีผลโดยตรงต่อขนาดของเศษไม้ที่ถูกตัดออกมาในแต่ละรอบ
ใบเลื่อยที่มี Gullet กว้างจะสามารถตัดและกำจัดเศษไม้ได้มากในแต่ละครั้ง เหมาะสำหรับการตัดไม้หนาหรืองานที่ต้องการความรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ใบเลื่อยที่มีฟันถี่และ Gullet แคบจะให้การตัดที่ละเอียดและเรียบเนียนกว่า แต่ต้องใช้เวลาในการตัดมากขึ้นเพราะเศษไม้ถูกขับออกมาทีละน้อย
การที่ Gullet มีขนาดเหมาะสมกับงานจะช่วยป้องกันปัญหาการอุดตันของเศษไม้ ซึ่งอาจทำให้ใบเลื่อยร้อนเกินไป เกิดควันไหม้ หรือแม้กระทั่งทำให้ใบเลื่อยเสียหายได้
[Source: Canadian Woodworking]
รูปแบบของฟัน (Tooth Configuration) ออกแบบเพื่อการใช้งานเฉพาะทาง
รูปแบบของฟันใบเลื่อยมีหลายประเภท แต่ละแบบออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน การเข้าใจรูปแบบฟันจะช่วยให้คุณเลือกใบเลื่อยที่เหมาะสมได้อย่างแม่นยำ
ฟันแบบ Flat Top (FT) มีลักษณะหน้าฟันเรียบแบน ออกแบบมาเพื่อการตัดตามเส้นใยไม้โดยเฉพาะ ฟันแบบนี้จะตัดไม้ออกเป็นชิ้นใหญ่ ทำให้สามารถตัดได้รวดเร็ว แต่ผิวตัดจะไม่ค่อยเรียบเท่าแบบอื่น เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็วมากกว่าความเรียบเนียน
ฟันแบบ Alternative Top Bevel (ATB) มีลักษณะหน้าฟันเอียงสลับซ้าย-ขวา ช่วยให้การตัดขวางเส้นใยไม้เป็นไปอย่างเรียบเนียน ลดการแตกร่อนของขอบไม้ ฟันแบบนี้เหมาะสำหรับงานตัดขวาง การตัดไม้แปรรูป และงานที่ต้องการความละเอียดสูง
ฟันแบบ Combination Tooth (CT) เป็นการผสมผสานระหว่างฟันแบบ FT และ ATB เข้าด้วยกัน ออกแบบมาเพื่อใช้งานได้หลากหลายทั้งการตัดตามเส้นใยและตัดขวางเส้นใย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใบเลื่อยอเนกประสงค์ติดบ้านไว้ใบเดียว
นอกจากนี้ยังมีฟันแบบพิเศษอื่นๆ เช่น Triple Chip Grind (TCG) ที่เหมาะสำหรับการตัดวัสดุแข็งอย่างไม้อัด MDF หรือแม้กระทั่งวัสดุที่ไม่ใช่ไม้เช่น พลาสติกหรืออลูมิเนียม
มุมฟัน (Tooth Angle)
มุมฟัน หรือที่เรียกว่า Hook Angle คือ มุมเอียงของฟันเมื่อเทียบกับแนวรัศมีของใบเลื่อย มุมนี้มีผลต่อความก้าวร้าวในการตัดและความรวดเร็วในการป้อนวัสดุ
ใบเลื่อยมุมบวก (Positive Hook Angle) หมายถึงฟันเอนไปข้างหน้าตามทิศทางการหมุนของใบเลื่อย ยิ่งมุมบวกมาก ฟันก็ยิ่งกัดไม้ได้ลึกและรวดเร็วมากขึ้น เหมาะสำหรับการตัดไม้อ่อนหรือไม้แข็งที่ต้องการความเร็วในการทำงาน แต่ต้องระมัดระวังเรื่องแรงดันย้อนกลับ (Kickback) ที่อาจเกิดขึ้นได้
ใบเลื่อยมุมลบ (Negative Hook Angle) คือฟันที่เอียงไปข้างหลัง ตรงข้ามกับทิศทางการหมุน ใบเลื่อยแบบนี้ตัดได้ช้ากว่าและนุ่มนวลกว่า ลดความเสี่ยงจากแรงดันย้อนกลับ เหมาะสำหรับการตัดวัสดุที่แข็งมาก วัสดุที่เปราะหรือแตกง่าย หรือใช้กับเลื่อยแบบ Miter Saw ที่ต้องการความปลอดภัยสูง
การเลือกมุมฟันที่เหมาะสมจะช่วยให้การตัดมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น พร้อมทั้งยืดอายุการใช้งานของทั้งใบเลื่อยและเครื่องมือ
หลักการเลือกใช้ใบเลื่อยให้เหมาะกับงาน
ฟันมากหรือฟันน้อยดี ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ
โดยทั่วไป ใบเลื่อยที่มีฟันมากจะให้ผลการตัดที่เรียบเนียนและสวยงามกว่า แต่ก็จะทำให้ใบเลื่อยร้อนขึ้นได้เร็วกว่าด้วย เพื่อป้องกันปัญหาความร้อนสูงเกินไป ควรมีฟันอย่างน้อย 3-5 ซี่ที่สัมผัสกับไม้ในขณะที่ทำการตัดตามเส้นใย และควรมี 5-7 ซี่
สำหรับการตัดขวางเส้นใยหรือการตัดแผ่นไม้อัด
สำหรับงานที่ต้องตัดไม้หนา การใช้ใบเลื่อยที่มีฟันน้อยกว่าจะช่วยรักษาอัตราส่วนของฟันที่สัมผัสกับไม้ได้เหมาะสม อีกวิธีหนึ่งคือการปรับความสูงของใบเลื่อย (โดยยังคงติดตั้งฝาครอบใบเลื่อยไว้เพื่อความปลอดภัย) การยกใบเลื่อยสูงขึ้นจะลดจำนวนฟันที่สัมผัสกับไม้ แต่ก็จะเพิ่มมุม Hook Angle ทำให้ใบเลื่อยก้าวร้าวขึ้นและอาจส่งผลให้คุณภาพการตัดลดลง
ข้อควรระวังสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
การใช้งานใบเลื่อยให้ถูกต้องไม่เพียงแต่จะให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการทำงานด้วย
อย่าใช้ใบเลื่อยตัดตามเส้นใยกับไม้อัดหรือ MDF เพราะจะทำให้ได้ผลการตัดที่ไม่ดี มีการแตกร่อนมาก ควรใช้ใบเลื่อยตัดขวางเส้นใย หรือดีกว่านั้นคือใบเลื่อยแบบ Triple Chip ที่ออกแบบมาสำหรับวัสดุแปรรูปโดยเฉพาะ
ห้ามใช้ใบเลื่อยตัดตามเส้นใยกับเลื่อยองศา (Miter Saw) เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายได้และให้ผลการตัดที่แย่มาก ควรใช้ใบเลื่อยตัดขวางเส้นใยเท่านั้น
ทำความสะอาดใบเลื่อยเป็นประจำ เพราะไม่ว่าจะใช้ใบเลื่อยแบบไหน ก็จะมีคราบยางไม้หรือสารเคลือบติดค้างอยู่บนใบเลื่อย หากไม่ทำความสะอาด ใบเลื่อยจะมีปัญหาการลากที่หนักขึ้น (Blade Drag) และอาจทำให้เกิดรอยไหม้บนผิวไม้ได้ ควรใช้น้ำยาทำความสะอาดพิเศษสำหรับใบเลื่อยเป็นประจำ
คุณภาพของใบเลื่อย สิ่งที่คุ้มค่าในระยะยาว
การเลือกใบเลื่อยคุณภาพดีไม่ได้หมายความว่าต้องเสียเงินมากเสมอไป แต่คือการเลือกสิ่งที่คุ้มค่าและใช้งานได้นาน
จุดสังเกตใบเลื่อยคุณภาพดี
ใบเลื่อยคุณภาพดีมักมีคุณสมบัติที่สังเกตได้ไม่ยากนัก ฟันจะทำจากคาร์ไบด์ (Carbide) ที่มีคุณภาพสูง ไม่บางเกินไป และแผ่นเหล็กของใบเลื่อยจะหนาและมั่นคงพอที่จะรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ใบเลื่อยที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้นาน ฟันสามารถลับคมใหม่ได้หลายครั้ง ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว
ในทางตรงกันข้าม ใบเลื่อยราคาถูกมักใช้แผ่นเหล็กที่บางและปั๊มขึ้นรูป ช่องระบายความร้อน (Expansion Slots) จะมีรูปแบบเก่าที่ลงท้ายด้วยรูกลม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่าและมักทำให้เกิดเสียงดังเวลาใช้งาน ใบเลื่อยแบบนี้แม้จะถูก แต่ไม่คุ้มค่าในระยะยาวเพราะไม่คงทนและให้ผลงานที่ด้อยกว่า
ประเภทของใบเลื่อย เลือกให้เหมาะกับลักษณะงาน
ใบเลื่อยตัดตามเส้นใย (Rip Blade) ความเร็วสำหรับงานหนัก
ใบเลื่อยตัดตามเส้นใยเป็นใบเลื่อยพื้นฐานที่สุดใบหนึ่ง มีจำนวนฟันน้อยและ Gullet ขนาดใหญ่ ทำให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการกำจัดเศษไม้ออกจากรอยตัด ใบเลื่อยแบบนี้ออกแบบมาเพื่อตัดไปตามทิศทางเส้นใยไม้บนโต๊ะเลื่อย แม้ว่าจะตัดได้รวดเร็ว แต่ผิวตัดจะไม่เรียบเท่าใบเลื่อยแบบอื่น
การใช้งานใบเลื่อยตัดตามเส้นใยเหมาะสำหรับงานที่ต้องการแบ่งไม้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย งานที่ผิวตัดจะถูกขัดหรือปรับแต่งอีกครั้งในภายหลัง หรืองานที่ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญกว่าความเรียบเนียน
ใบเลื่อยตัดขวางเส้นใย (Crosscut Blade) ความเรียบเนียนที่ต้องการ
หากคุณต้องการผิวตัดที่เรียบเนียนและสวยงาม ใบเลื่อยตัดขวางเส้นใยคือคำตอบ ใบเลื่อยแบบนี้มีจำนวนฟันมากกว่าใบเลื่อยตัดตามเส้นใย ทำให้ได้ผลการตัดที่ละเอียดและเรียบ เหมาะสำหรับการตัดขวางเส้นใยไม้ การตัดไม้แปรรูป หรืองานที่ต้องการความสวยงามของขอบตัด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีฟันมาก พื้นที่สำหรับการกำจัดเศษไม้จึงน้อยกว่า และมีฟันมากกว่าที่ต้องตัดผ่านไม้ ทำให้ความเร็วในการป้อนไม้ต้องช้าลงกว่าการใช้ใบเลื่อยตัดตามเส้นใย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่ากับเวลาที่ใช้ไป
ใบเลื่อยแบบผสม (Combination Blade) ความสะดวกในใบเดียว
สำหรับผู้ที่ต้องการทั้งความเร็วและผิวตัดที่เรียบ ใบเลื่อยแบบผสมคือทางเลือกที่ดี ใบเลื่อยแบบนี้พยายามผสมผสานข้อดีของทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน มีการจัดเรียงฟันที่หลากหลายเพื่อให้สามารถทำงานได้ทั้งการตัดตามเส้นใยและตัดขวางเส้นใย
แม้ว่าใบเลื่อยแบบผสมจะไม่เก่งเท่าใบเลื่อยเฉพาะทางในแต่ละด้าน แต่ก็เป็นตัวเลือกที่สะดวกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนใบเลื่อยบ่อยๆ หรือใครที่ทำงานหลากหลายประเภท การมีใบเลื่อยแบบผสมติดบ้านไว้สักใบจะช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้นมาก
ใบเลื่อยเฉพาะทาง (Specialty Blade) เมื่องานต้องการความพิเศษ
นอกจากใบเลื่อยพื้นฐานทั้งสามแบบแล้ว ยังมีใบเลื่อยเฉพาะทางที่ออกแบบมาสำหรับวัสดุหรืองานบางอย่างโดยเฉพาะ เช่น ใบเลื่อยสำหรับตัดไม้อัด ใบเลื่อยสำหรับไม้แข็ง ใบเลื่อยสำหรับโลหะ พลาสติก หรือแม้กระทั่งอิฐ
นอกจากนี้ยังมีใบเลื่อยที่ออกแบบมาเพื่อการทำข้อต่อพิเศษ รวมถึงชุดใบเลื่อยดาโด (Dado Blade Set) ที่ใช้สำหรับการเจาะร่องหรือทำข้อต่อแบบต่างๆ หากคุณทำงานเฉพาะทางหรืองานที่ต้องการความแม่นยำสูง การลงทุนในใบเลื่อยเฉพาะทางจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมและประหยัดเวลามากขึ้น
ความกว้างของรอยตัดและความหนาของใบเลื่อย
ความกว้างของ Kerf สิ่งที่มองข้ามไม่ได้
Kerf คือร่องหรือช่องว่างที่เกิดจากการตัดของใบเลื่อย ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือความกว้างของ Kerf จะกำหนดปริมาณวัสดุที่สูญเสียไปในกระบวนการตัด แต่ความกว้างของ Kerf ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการประหยัดวัสดุเท่านั้น
ขนาดของ Kerf ถูกกำหนดโดยความหนาของแผ่นใบเลื่อย และแผ่นใบเลื่อยที่มั่นคงแข็งแรงคือหนึ่งในคุณสมบัติของใบเลื่อยคุณภาพดี ฟันของใบเลื่อยจำเป็นต้องตัดช่องที่กว้างพอที่จะให้แผ่นใบเลื่อยผ่านไปได้ และเพื่อให้ใบเลื่อยทำงานได้อย่างราบรื่น ตัดได้ตรง โดยไม่มีรอยขีดข่วนมากนักบนขอบที่ตัด แผ่นใบเลื่อยต้องมีความหนาพอที่จะดูดซับแรงสั่นสะเทือนและรับมือกับความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการตัดได้
ใบเลื่อย Kerf แคบ ทางเลือกสำหรับเครื่องมือกำลังไม่มาก
สำหรับใบเลื่อยแบบ Full Kerf มาตรฐาน ความกว้างของ Kerf จะอยู่ที่ประมาณ 1/8 นิ้ว แต่สำหรับเลื่อยที่มีกำลังไม่มากนัก โดยเฉพาะเลื่อยโต๊ะที่มีกำลังต่ำกว่า 3 แรงม้า การใช้ใบเลื่อย Full Kerf ที่กว้าง 1/8 นิ้วเต็มจะมีผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการดึงกำลังจากเครื่องมือมากเกินไป
หากกำลังที่ส่งไปยังใบเลื่อยไม่เพียงพอ เลื่อยจะหมุนช้าลงและเกิดแรงเสียดทานมากเกินไป ใบเลื่อยจะร้อนขึ้นและอาจบิดงอ หรือทำให้เกิดรอยไหม้บนผิวที่ตัดได้ นี่คือเหตุผลที่มีใบเลื่อยแบบ Thin Kerf หรือใบเลื่อยแคบพิเศษ ซึ่งออกแบบมาสำหรับเลื่อยที่มีกำลังไม่มาก ใบเลื่อยแบบนี้จะตัดช่องที่แคบกว่า ต้องใช้กำลังน้อยกว่าในการขับเคลื่อน และยังช่วยประหยัดวัสดุอีกด้วย
ช่องระบายความร้อน (Expansion Slots) รายละเอียดเล็กๆ ที่สำคัญ
ใบเลื่อยหลายรุ่นมีช่องระบายความร้อนหรือ Expansion Slots ซึ่งเป็นช่องเปิดที่ตัดจากขอบใบเลื่อยเข้าไปทางใน ช่องเหล่านี้มีหน้าที่อนุญาตให้ใบเลื่อยขยายตัวและหดตัวเล็กน้อยเมื่อได้รับความร้อนจากการทำงาน โดยไม่ทำให้ใบเลื่อยบิดงอหรือเสียรูปทรง
การมี Expansion Slots ที่ออกแบบมาอย่างดีจะช่วยรักษาความแม่นยำของการตัด ลดเสียงรบกวน และยืดอายุการใช้งานของใบเลื่อย โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานหรือตัดวัสดุที่แข็งซึ่งสร้างความร้อนมาก
เคล็ดลับสำหรับการใช้งานใบเลื่อยให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
การมีใบเลื่อยที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การใช้งานอย่างถูกวิธีและการดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยสูงสุด
ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง
ใช้ฝาครอบใบเลื่อยทุกครั้งที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรือใหญ่ ใส่แว่นตานิรภัย ปลั๊กหูอุดหู และหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่หลวมหรือเครื่องประดับที่อาจติดใบเลื่อย ตรวจสอบว่าใบเลื่อยติดตั้งแน่นหนาและหมุนในทิศทางที่ถูกต้องก่อนเริ่มงานทุกครั้ง
การบำรุงรักษาใบเลื่อยอย่างสมํ่าเสมอ
ทำความสะอาดใบเลื่อยหลังการใช้งานทุกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อตัดไม้ที่มีน้ำยางมาก ใช้แปรงนุ่มและน้ำยาทำความสะอาดพิเศษ ห้ามใช้วัสดุขัดที่หยาบจนเกินไปเพราะอาจทำลายฟันได้ เมื่อไม่ใช้งาน ควรเก็บใบเลื่อยในที่แห้งและปลอดฝุ่น อาจทาน้ำมันป้องกันสนิมบางๆ หากเก็บไว้นาน
การลับคมใบเลื่อย
เมื่อใบเลื่อยทื่อ จะเห็นได้จากการตัดที่ต้องใช้แรงมากขึ้น เกิดรอยไหม้บนไม้ หรือผิวตัดไม่เรียบเท่าเดิม ไม่ควรใช้ใบเลื่อยทื่อต่อเพราะอันตรายและให้ผลงานที่ไม่ดี ใบเลื่อยคุณภาพดีสามารถลับคมใหม่ได้หลายครั้ง ควรนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญลับเพื่อให้ได้มุมและความคมที่เหมาะสม
สรุป การลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับช่างไม้ทุกระดับ
การเลือกใบเลื่อยที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประเภทของใบเลื่อย จำนวนฟัน รูปแบบฟัน และการใช้งาน คุณก็จะสามารถเลือกใบเลื่อยที่เหมาะกับงานของคุณได้อย่างมั่นใจ
การลงทุนในใบเลื่อยคุณภาพดีอาจดูแพงในตอนแรก แต่ความทนทาน ความสามารถในการลับคมใหม่ได้หลายครั้ง และผลงานที่ดีกว่า ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว มากกว่าการซื้อใบเลื่อยถูกๆ มาเปลี่ยนบ่อยๆ
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น แนะนำให้มีใบเลื่อยแบบผสมคุณภาพดีติดบ้านไว้สักใบสำหรับงานทั่วไป และค่อยๆ เพิ่มใบเลื่อยเฉพาะทางเมื่อมีงานที่ต้องการความพิเศษ ส่วนช่างไม้มืออาชีพควรมีใบเลื่อยหลากหลายประเภทเพื่อรองรับงานที่แตกต่างกัน
ติดต่อสอบถามและเลือกซื้อใบเลื่อยคุณภาพได้ที่
ดำรงค์ โฮมพลัส | โกสุมพิสัย มหาสารคาม
ศูนย์รวมเครื่องมือช่างและวัสดุก่อสร้างครบวงจร
เรามีใบเลื่อยหลากหลายยี่ห้อและรุ่น พร้อมทีมงานมืออาชีพคอยให้คำปรึกษาเลือกใบเลื่อยที่เหมาะสมกับงานของคุณ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านเล็กๆ หรืองานก่อสร้างขนาดใหญ่
🌐 เว็บไซต์: www.drhome.plus
📱 Facebook: facebook.com/damronghomeplus
💬 LINE: https://lin.ee/owsFVCn
☎️ โทรศัพท์: 043-761-599 หรือ 043-761-855
🕐 เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 08.00 – 17.00 น.
โปรโมชั่นพิเศษ! สอบถามโปรโมชั่นและราคาพิเศษสำหรับช่างมืออาชีพและผู้รับเหมา รับประกันสินค้าคุณภาพและบริการหลังการขาย
มาเลือกใบเลื่อยที่ใช่สำหรับงานของคุณ เพื่อผลงานที่สมบูรณ์แบบและปลอดภัยสูงสุด
อ้าอิงบทความ : https://makezine.com/article/workshop/understanding-saw-blade-essentials/